ละครเรื่อง Wannabe Bride

เจ้าสาวรอฤกษ์

บังเอิญ

เคยบอกกับตัวเองว่า่ถ้าสอบวิทยานิพนธ์เสร็จจะลองออกไปทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำ ลองไปในที่ที่ไม่เคยไป ทำอะไรที่หลายๆบอกว่า “เฮ้ยเอาจริงดิ” ด้วยความบังเอิญตอนไปเดินหอศิลป์เห็นแผ่นพับแปลกๆเลยหยิบมาดูเลยรู้ว่ามีงานเทศกาลละครวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และศิลปนิพนธ์ ของจุฬา เป็นงานฟรีไม่คิดเงิน ใกล้ๆกับที่ทำงาน เลยเอาวะเจอไอเรื่องที่ไม่เคยทำกับที่ที่ไม่เคยไปให้ลองทำลองไปละ

เยือนถิ่นจุฬา

ทำงานอยู่แถวจุฬามาหลายปี มีเพื่อนเรียนจุฬาก็หลายคน แต่ไปจุฬานี่นับครั้งได้เลย ด้วยความที่มันใหญ่และสภาพเป็นสถานศึกษาอันดับหนึ่งของไทยทำให้มันดูขลังๆไปเดินมั่วๆก็กลัวจะโดนถามว่า เฮ้ยนาย นายมาทำอะไร เป็นศิษย์เก่าหรือเปล่า เลยไม่ค่อยอยากไปเดินสักเท่าไหร่ วันนั้นจำได้ว่าเป็นการเดินเข้าจุฬาที่เคว้งคว้างมากถึงจะถามทางจากเพื่อนมาแล้วแต่ก็ยังเคว้งๆอยู่ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เรียกว่า Google map ที่ทำให้สามารถไปถึงที่หมายโดยไม่ต้องเอ่ยปากถามมนุษย์คนไหน

สูจิบัตร

ไปถึงหน้างานได้รับบัตรเข้าชมแต่ต้องนั่งรออยู่หน้าโรงจนกว่าจะถึง 19.30 น. ระหว่างรอโรงเปิดก็หยิบเอาสูจิบัตร (มันคงเรียกว่างั้นนะ) มาอ่านดู อ่านก็สนุกดีนะได้รู้ว่ากว่าจะเป็นละครเรื่องนี้ผู้จัดเขาคิดยังไง เขาทำอะไรบ้างกว่าจะได้เป็นละครเรื่องที่กำลังจะเข้าไปดู มีการขอบคุณเพื่อนๆและสิ่งต่างๆมากมาย อ่านไปอ่านมาก็ทำให้นึกถึง กิตติกรรมประกาศในเล่มวิทยานิพนธ์ขึ้นมาเหมือนกัน แต่ต่างกันที่เราจะเขียนอะไรแบบนี้ไม่ได้ จะเขียนภาษาที่เราอยากเขียนไม่ได้เพราะมันต้องสุภาพ มีหลักเกณฑ์ เขียนไม่ถูกหลักเดี๋ยวจะโดนไล่ไปเข้าเล่มใหม่เอาง่ายๆ พานึกไปถึงพวกหน้าแรกๆของ Text book เล่มใหญ่ๆที่เขาจะมีสักหน้าเขียนอะไรสักอย่างเช่น แก่คนที่รัก แก่ลูก แก่คนที่ผ่านมาในชีวิต แด่มิเชล บลาๆๆๆๆๆๆ คิดไปก็อยากจะมีหน้าแบบนี้ให้กับตัวเองบ้างนะ จริงๆการโปรแกรมเมอร์ของเราก็มีของแบบนี้นะมันเรียกว่า easter egg แต่ไม่เคยได้ทำสักทีเพราะแค่ feature หลักของโปรแกรมก็เขียนจะไม่ทันละ ไว้ว่างๆจะลองซ่อนมันไว้สักที่ในโปรแกรมแล้วดูว่าผ่านไปสัก 10 ปี จะมีคนไปเจอบ้างไหม

ท่ามกลางคนแปลกหน้า

ระหว่างรอโรงเปิดก็เริ่มมีคนมากมายมานั่งรอหน้าโรง ส่วนใหญ่จะเป็นนิสิตจุฬา (เรียกนักศึกษาไม่ได้นะ) มากันเป็นกลุ่มบ้างคู่บ้าง มีเพื่อนหรือคนรู้จักของผู้จัด หรือคนที่ผู้จัดเชิญมา ทุกคนมีคนรู้จัก แล้วเราล่ะ เราไม่รู้จักใคร เราแค่แขกที่ไม่มีคนเชิญ คนที่บังเอิญผ่านมาในงาน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่มีใครจำ การมานั่งท่ามกลางเหล่าคนแปลกหน้าก็ทำให้รู้ว่ามันง่ายที่เราจะผ่านมา ผ่านไป ไม่ต้องผูกมัด ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องถนอมน้ำใจ หรืออะไรหลายๆอย่างที่เราพยายามทำกับคนที่เรารู้จัก เราต้องคิดว่าเขาจะลำบากใจไหม จะสบายใจหรือเปล่า เขาจะพอใจไหม เขาจะโน่นนี่นั่น เราไม่อยากให้ใครไม่พอใจ จนลืมว่า ไอเชี่ยคนที่มึงควรจะสนใจที่สุดคือตัวมึงเองเนี่ยแหละ ถ้ามึงตามใจตัวเองในบางเรื่องมึงคงจะสบายใจกว่านี้ไปแล้ว

ละครฟรีแต่สนุก

โรงละครเปิด คนก็แห่เข้าไปในโรงผมนั่งหน้าโรงนะ แต่ดันได้เข้าคนหลังๆเพราะมันมีคนมาตัดหน้าแล้วผมก็กลายเป็นคนนอกแถวไปซะงั้น สุดท้ายมึงก็มาแคร์คนอื่นอีกตามเคยเพราะมึงไม่อยากให้คนที่ตัดหน้ามึงเขาไม่สบายใจ ต้องเกิดเรื่อง ถ้ามึงไม่ยอม มึงมาก่อน มึงโดนแซง มึงก็ได้เข้าโรงคนแรกไปละ แต่ก็โชคดีที่คนเข้าก่อนดันไม่นั่งหน้า ปล่อยแถวหน้าโล่งซะอย่างงั้น เหตุการณ์แบบนี้ก็เห็นมาเกือบตลอดชีวิตนะ ตอนเรียนคนก็ไม่ชอบนั่งหน้าติดอาจารย์ งานฟรีๆส่วนใหญ่คนจะชอบนั่งหลัง แต่งานเสียเงินคนกลับแห่จะซื้อบัตรราคาแพงเพื่อได้เข้าไปยืนข้างหน้า อือคงเพราะมันได้มาง่ายคนเลยไม่เห็นความสำคัญละ่มั้ง ที่นั่งด้านหน้าว่างก็เลยเข้าไปนั่งซะ ความรู้สึกเหมือนได้ซื้อบัตร VIP เลยทีเดียว นั่งไปซักพักละครก็เริ่ม ยิ่งดูยิ่งสนุกลุ้นไปกับตัวละครว่ามันจะเป็นยังไง มีตลก ดราม่า ผสมกันไป ยิ่งดูยิ่งคิดว่า เฮ้ย มันดีกว่าละครบางเรื่องในทีวีอีกนะ เวลา 1.5 ชั่วโมงที่เสียไปกับการดูถือว่าคุ้ม และคำถามที่ว่า การแต่งงานมันจำเป็นไหมมันสำคัญมากขนาดไหน อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตคู่ ความรักมันพังทลายง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

ทางทีว่างเปล่า

ละครจบก็เดินออกจากโรง ตอนกลางคืนที่คนน้อย การเดินบนทางกว้างๆที่ไม่ค่อยมีคน มันทำให้รู้สึกเป็นอิสระ อยากจะร้องเพลง อยากวิ่ง จะหยุด โดยที่ไม่ต้องมีใครมากังวลมันรู้สึกดีจริงๆ บางทีการเป็นอิสระอาจจะเหมาะกับเราก็ได้นะ

สุดท้ายต้องขอขอบคุณผู้จัดและทีมงานเรื่อง Wannabe Bride ที่ทำออกมาได้สนุก น่าติดตาม ทำให้ 1.5 ชั่วโมงเป็นเวลาที่น่าจดจำ

สำหรับใครที่สนใจอยากดูละครฟรี สนุก สามารถไปจองได้ที่ https://www.dramaartschulaticket.com/free-events