เมตตาอาทร กลิ่นหอมยามรักผลิบาน - Compassion

ความเมตตาคืออะไร

เมตตาอาทร กลิ่นหอมยามรักผลิบาน - Compassion

ความหมายของคำว่าเมตตาคืออะไร ถ้าถามกันตรงๆผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร มันคือความรักที่คนมอบให้แก่กันหรือ ผมเคยเมตตาใครสักคนหรือเปล่า ไอความสงสารที่ผุดขึ้นมาในบางครั้งมันคือความเมตตาไหม แล้วความเมตตาของเรามันก่อให้เกิดประโยชน์จริงรึเปล่า ถ้าคุณเคยให้เงินขอทานแล้วมารู้ทีหลังว่าโดนหลอกคุณแล้วรู้สึกโกรธนั่นแปลว่าคุณมีความเมตตาไหม พอไปเห็นหนังสือชื่อเรื่องเมตตาอาทร ก็เลยสั่งมาอ่านซะเลย แล้วก็ตามเดิมคือหนังสือเล่มนี้เป็นของ OSHO นั่นแปลว่าผมกำลังจะได้มุมมองแปลกๆซึ่งเหมาะกับการแก้เบื่อบนรถไฟฟ้า BTS ที่ยาวนาน

กลับบ้าน

เริ่มอ่านก็มาแนวศาสนาพุทธเลย พูดถึงการหลุดพ้น ทำการแยกระหว่างปัจเจกพระพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าว่าแตกต่างกันอย่างไร โดยก็ตามนิยามที่ว่าปัจเจกคือผู้ที่บรรลุแล้วก็บรรลุเลย ส่วนพระพุทธเจ้านั้นแตกต่างเพราะพระองค์มีสิ่งที่เรียกว่าเมตตาอาทร พระองค์จึงพยายามอธิบายช่วยผู้คนบรรลุไปด้วย OSHO ยกตัวอย่างการบรรลุเหมือนการกลับบ้าน เมื่อท่านถึงบ้านของท่านแล้วท่านจะสนใจคนอื่นทำพระแสงอะไร ท่านถึงบ้านท่านแล้วท่านสบายแล้ว ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านก็แค่เข้าไปพักในบ้านท่าน ท่านไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอะไรเลย แต่พระพุทธเจ้านั้นแปลกกว่าตรงที่ ท่านถึงบ้านละ รู้ละว่าจะได้พัก แต่ท่านมีความเมตตาอาทรท่านเลยช่วยเหลือให้ผู้อื่นกลับบ้านด้วย OSHO ยกทฤษฏีอะไรสักอย่างซึ่งผมเห็นว่าเพ้อเจ้อมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งอ่านแล้วคิดว่าถ้าเอาออกก็ไม่เสียหายอะไร

ความเมตตาจอมปลอม

ในปัจจุบันคนเรามีความเมตตาจอมปลอมเยอะมาก ซึ่งมันถูกนิยามให้กลายเป็นความเมตตาที่ควรทำ เช่น การช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อตอบสนองให้ตัวเองรู้สึกเป็นคนดี อันนี้คือเรื่องจริงๆนะ คือในส่วนลึกของจิตใจหยาบๆของผมนั้นมีแว๊บนึงเสมอเวลาช่วยใครสักคนแล้วมันทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย “กูเนี่ยคนดี” ยกตัวอย่างกรณีง่ายๆก็อย่างกรณีลุกให้ผู้หญิงนั่งนี่โคตรจะเห็นภาพเลย คือจริงๆเราแค่ไม่ได้อยากช่วยหรอกแค่อยากสนองความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองเป็นคนดี ซึ่งข้อนี้ถือเป็นการพูดเรื่องที่หลายคนพยายามซ่อนมันไว้ในใจ เคยมีคนบอกว่าสนทำไมผลลัพธ์มันเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะเพราะผมทำมันมาทุกวันจนมันเริ่มทำให้ผมคิดว่าตกลงมันเป็นสิ่งมีคุณค่าไหม มันใช่สิ่งควรทำจริงหรือ

จงปฏิบัติกับคนอื่นเหมือนกับที่อยากให้คนอื่นปฏิบัติกับตัวเอง

นี่เป็นอีกคำสอนที่ผมได้รับการสั่งสอนมา มันเหมือนเป็นเรื่องดีนะ แต่ลองมองให้ลึกๆเข้าไปจะเห็นบางอย่างมันคือเงื่อนไขไง เงื่อนไขที่ว่าเราทำบางอย่างเพื่อให้คนอื่นทำกับเราแบบนั้น เราช่วยเพราะอยากให้อื่นมาช่วยเราบ้างเป็นการทำบางอย่างเพื่อหวังผลตอบแทน แล้วมันเป็นยังไงต่อ พอช่วยก็หวังผลตอบแทน พอเขาไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นคุณก็หมายหัวคนคนนั้นไปแล้วว่า ไอ้เวรนี่น่าจะไม่ใช่คนดี ไม่ปกติ กรณีนี้อาจจะไม่เห็นภาพเท่าไหร่ กรณีที่เห็นภาพชัดๆคือเรื่อง นรก สวรรค์ อันนี้ภาพง่ายเลย คนทำดีได้ไปสวรรค์ ซึ่งมันก็คือการตั้งเงื่อนไข เราทำเพื่อให้เราได้ไปสวรรค์ เราทำเพื่อตอบสนองให้เห็นว่าเราเป็นคนดี เราพยายามแบ่งแยก แบ่งว่าเราเป็นคนดี แบ่งคนอีกกลุ่มที่ไม่ทำเป็นคนไม่ดี จะต้องตกนรก ซึ่งจริงๆเขาอาจจะเป็นคนปกติก็ได้แค่เขาไม่ทำอะไรแบบคุณ สำหรับผมผมเกลียดไอเรื่องสวรรค์นรกนี่มากเพราะมันทำให้คนทำดีเพราะหวังอยากขึ้นสวรรค์ ทำไปแบบส่งๆ ทำให้คนเพ้อฝันอยู่กับโลกหน้ามากกว่าจะอยู่กับป้จจุบัน รู้ว่าความสุขมีได้ตั้งแต่ตอนนี้

ยอมรับในตัวตน

ในหนังสือพูดถึงความเมตตาอาทรว่าคือความรักเป็นความรักที่บริสุทธ์ OSHO บอกว่าคนที่จะมีความเมตตาอาทรแบบนี้ได้ต้องปฏิบัตสมาธิภาวนามาก่อน ซึ่งตรงนี้ผมค่อนข้างจะเบื่อมากกับการพูดแบบนี้ของแก เพราะทุกเล่มที่แกเขียนแกตอบแบบนี้หมด ในมุมมองผมสำหรับแกแล้วสมาธิภาวนาคงเป็นกระสุนเงินฆ่าปิศาจแน่ๆ แต่ช่างมันเถอะครับ รายละเอียดที่ผมอ่านแล้วพอจะเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้คือ การยอมรับในตัวตน ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือผู้อื่น การยอมรับตัวตนทีว่าคือการยอมรับว่าแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับในการที่เขาเป็นตัวเขา ยอมรับว่าตัวเราก็คือตัวเรา ไม่ต้องตัดสินว่าเขาผิด ไม่ตัดสินว่าเขาเป็นคนพวกไหน แต่จงยอมรับเขาว่าเขาคือเขา เขามีหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ หากทำได้เราจะปฏิบัติกับเขาตามสภาพความเป็นจริง ปราศจากอคติ ไม่ได้หวังผลตอบแทนหรือสิ่งใด เป็นการปฏิบัติอย่างใสซื่อกับเขา ซึ่งเรื่องนี้ผมยอมรับว่าดีเลย ในสังคมสมัยใหม่ เราพยายามชูประเด็นเรื่องความแตกต่าง แต่คนที่เรียกร้องกลับพยายามแบ่งแยกคนเป็นกลุ่มๆซึ่งนั่นมันใช่เหรอ คุณต้องการให้ยอมรับความแตกต่าง แต่คุณกลับจับคนไปรวมเป็นพวกๆ จัดกลุ่มคน แล้วมันต่างอะไรกับคนที่คุณเกลียดทำอยู่ล่ะ ในหนังสือเขียนให้ลองนึกภาพถามว่า หากมีใครสักคนมองมาที่คุณ ยอมรับในความเป็นตัวคุณ ยอมรับว่าคุณคือตัวคุณ คุณคิดว่าคุณจะรู้สึกมีความสุขแค่ไหน ผมลองนึกภาพตามว่า หากมีใครสักคนยอมรับผม ยอมรับแนวคิด ยอมรับความปากหมา ยอมรับความเป็นตัวตนของเราได้ขนาดนั้น ผมว่าผมคงรู้สึกตื้นตันใจขอบคุณคนคนนั้นที่ยอมรับความเป็นตัวผม หากทุกคนทำอย่างนั้นได้ผมว่าโลกนี้คงสวยงามน่าดู

รักตัวเองก่อนรักคนอื่น

ประเด็นนี้ก็ถือว่าเจ็บมากคือเราถูกสอนให้ช่วยผู้อื่นตลอด แต่เราไม่เคยถูกสอนให้รักตัวเองมากๆเพราะมันจะกลายเป็นการเห็นแก่ตัว สำหรับผมผมเห็นด้วยกับการรักตัวเองก่อนนะ เพราะการที่เราจะรักคนอื่นได้เราต้องรักตัวเองก่อน มันเหมือนกับการช่วยคน ถ้าจะช่วยใครสักคนคุณควรจะอยู่ในสภาวะที่พร้อมที่จะช่วย เช่น ถ้าจะช่วยคนจมน้ำแต่คุ่ณว่ายน้ำไม่เป็น คุณกระโดดน้ำไปช่วยคนจมน้ำอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคุณจะช่วยเหลือคนอื่นคุณต้องประเมินตัวเองก่อนว่าคุณช่วยเขาได้ไหม รักตัวเองในความคิดของผมนั้น คือการทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน ส่วนในด้านจิตวิญญาณคือก่อนจะช่วยคนอื่น ช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นให้ได้ก่อนไหม เพราะถ้าตัวเองยังไม่หลุดพ้นก็เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นกำลังไปช่วยคนที่จมน้ำ ผลลัพธ์ออกมาคืออาจจะช่วยคนจมไม่ได้ หรือไม่ก็จมน้ำตายห่าด้วยกันทั้งคู่ แต่ในสังคมกลับแปลกประหลาด เวลาคนรวยจ่ายเงินมหาศาลช่วยคนยากไร้ถูกกลับมองว่าเอาหน้า จริงอยู่ที่มันเอาหน้าแต่เขาช่วยโดยเขาไม่เดือดร้อนนี่มันเป็นเรื่องดีออก แต่เวลาคนไม่มีอันจะกินช่วยกันกลับกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะอะไรก็คงเพราะเฮ้ยยังเอาตัวเองจะไม่รอดแต่ยังช่วยคนอื่น ซึ่งนั่นเหมือนแสดงคนคนนี้ต้องเป็นคนดีที่แสนจะเมตตาเลย ซึ่งการกระทำของคนสองคนมีปลายทางเดียวกันแท้ๆ คนนึงกลับถูกตราหน้าอีกคนกลับถูกสรรเสริญ เราเอาอะไรมาแบ่งเรื่องพวกนี้อะ ผมคิดว่าเรากำลังพยายามแบ่งพวกกันอยู่แน่ๆ

เรื่องหงุดหงิด

ถ้าคุณได้อ่านหนังสือพวกนี้บ่อยๆคุณจะเริ่มเห็นความจับแพะชนแกะ หรือการสรุปสิ่งต่างๆเอาง่ายๆของคนเขียนหนังสือแนวๆนี้ อย่าง OSHO แกชอบเอาธรรมชาติมาเปรียบเทียบ เช่น ความเมตตาอาทรเปรียบเหมือนกับกลิ่นหอมดอกไม้ เพราะว่ามันปล่อยกลิ่นหอมออกมาโดยไม่ระบุเป้าหมาย มันปล่อยให้ล่องลอยไปตามลม มันเป็นความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน เอ่อ ถ้า OSHO ได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์อย่างที่ผมได้เรียนเขาคงไม่ตอบอย่างนั้น เพราะกลิ่นหอมนั้นล่อแมลงเพื่อให้แมลงมาผสมเกสร เพื่อพัฒนาจากดอกให้กลายเป็นผลและแพร่พันธุ์ต้นไม้ต่อไป ถ้าเขาใช้เปรียบเทียบผมโอเคนะ แต่จะมาเออออว่ามันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ วิทยาศาสตร์คือศาสตร์ในการหาความจริงแบบพิสูจน์กลับได้ แตกต่างจากสิ่งที่ OSHO กำลังบอก จริงๆมีอีกหลายเรื่องเช่น การมีกฏเกณฑ์ในสังคม การพยายามยกตัวอย่างที่จะออกมาแนว Best casae เสมอเช่น โจรขึ้นบ้าน แทนที่เราจะฆ่าโจร ป้องกันโจรไม่ให้ขึ้นบ้าน แต่กลับพูดดีกับโจร บอกโจรว่าเอาไปแล้วเหลือให้ด้วย ให้โจรขอบคุณ ใช่ครับโจรมันอาจจะโอเค แต่จะมีโจรกี่คนซาบซึ้งในสิ่งที่ท่านทำให้นี้ ผมว่ามีแต่มันจะหัวเราะเยาะ ไม่แน่มันอาจเอามีดปาดคอท่านปิดปากเนื่องจากเห็นหน้าท่านไปแล้วก็ได้ OHSO ยกแต่ Best case เสมอ คิดว่ามนุษย์ทุกคนต้องคิดได้ ผมว่ามันตลกถ้าทุกคนคิดได้คงไม่มีโจรแล้วแหละ หลายๆเรื่องที่อ่านไปก็มีสับสน ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ซึ่งคงทำได้แต่เอาส่วนที่พอจะเอาไปใช้ในชีวิตได้มาใช้

อ่านแล้วได้อะไร

เล่มนี้อ่านแล้วได้อะไร สำหรับผมผมว่าอ่านแล้วได้รู้จักกับความรักที่จะยอมรับใครสักคนในแบบที่เขาทำ มองเขาแบบที่เขาเป็น ส่งเสริมช่วยเหลือเขาในระดับที่เราช่วยเหลือได้ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้เราไม่ว่าจะเดือดร้อนทางกายหรือทางใจ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นเราจะช่วยเขาโดยไม่หวังผลตอบแทน เราจะมีความเมตตาอาทรที่สวยสดงดงามที่สุดเท่าที่เราจะคิดได้

เพลงประกอบการเขียนบทความนี้

สำหรับเพลงนี้ผมได้ยินครั้งแรกตอนดูละครช่อง 5 แล้วมันก็หายไปเนิ่นนาน จนมาอยู่ในช่วงเศร้าเมื่อไม่นานมานี้ซึ่งตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไรให้หายเศร้าเลยไปโหลด Joox แล้วมาสร้าง Playlist เพลงฟังแก้เศร้าขึ้นมา เลยได้มีโอกาสมาฟังเพลงนี้อีกครั้ง แล้วพอได้อ่านหนังสือเล่มนี้เรื่องการยอมรับความแตกต่าง ยอมรับตัวตนของคนคนนั้นซึ่งเพลงนี้ก็ตรงตามนั้นเลย เช่นท่อน “ไม่มีตรงไหนที่ไม่รัก รักเธอที่เธอเป็นเธอ” พอฟังแล้วนึกตามความหมายนี้แล้ว ผู้ชายคนคนนี้คงต้องรักผู้หญิงคนนี้มากแน่ๆ เพราะเขาสามารถยอมรับทุกสิ่งที่คนรักของเขาเป็นได้ เหมาะกับการเป็นเพลงบอกรักจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ