เจ้าชายน้อย - The Little Prince

“เพื่อนสนิท” สู่ “เจ้าชายน้อย”

เจ้าชายน้อย - The Little Prince

หากคุณเคยดูหนังรักไทยที่ใครหลายคนบอกว่าคนไทยแม่งทำหนังอยู่ได้ไม่กี่ประเภทหรอก ประเภทหนึ่งที่คนบ่นว่าคนไทยชอบทำก็คงไม่พ้นหนังรักเนี่ยแหละ จริงๆถ้าเขาอยากดูหนังล้ำๆหน่อยผมมีแนะนำหลายเรื่องเลยนะ เช่น Monty Python and the Holy Grail หรือ Predestination ซึ่งหลายคนที่ผมแนะนำไปดูก็มักจะบอกว่า “ส่งเหี้ยอะไรให้กูดู” ผมก็มักจะตอบว่า “หนังล้ำไม่น่าเบื่อไงล่ะไอสัด อยากดูไม่ใช่เหรอ” เอาล่ะนอกเรื่องมานาน หากใครเคยดูหนังเรื่องเพื่อนสนิทก็คงจะคุ้นๆเรื่อง “เจ้าชายน้อย” เพราะมีการพูดถึงอยู่หลายครั้งในหนัง แล้วก็เหมือนจะมีส่วนในการเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งผมก็งงว่าเฮ้ยตกลงเรื่องนี้มันพูดถึงอะไรวะ มันมีอะไรที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนการตัดสินใจได้เลยเหรอ แต่ก็เก็บความสงสัยลากยาวมานานมากๆ ซึ่งจริงแล้วเคยมีเพื่อนพูดถึงเรื่องเจ้าชายน้อยอยู่เหมือนกันว่ามันโคตรปรัชญา สอดแทรกอะไรหลายๆอย่าง แถมถ้าจำไม่ผิดเอามาฉายที่ช่อง itv หรือ thaipbs เนี่ยแหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากเพราะคิดว่ามันคงเป็นกระแส จนเมื่อไม่นานมานี้มีโปรโมชั่นหนังลดราคาแล้วต้องซื้อให้ถึง 600 บาทถึงจะได้ส่งฟรี ตอนนั้นซื้อไปแค่ 500 กว่าบาทเลยต้องหาหนังสือเพิ่มอีกเล่ม พอดีกับเหลือบไปเห็นหนังสือเจ้าชายน้อยราคาประมาณ 180 ก็เลยสั่งมาเพื่อให้ได้สิทธิ์ส่งฟรี

เด็กกับผู้ใหญ่

หนังสือเกริ่นนำถึงการเป็นเด็ก เด็กมักจะเห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นซึ่งผู้เขียนอธิบายด้วยเรื่องภาพวาดของงูที่กินช้าง คือเด็กเข้าใจว่าภาพนั้นคืออะไรแต่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ พอเด็กวาดอธิบายแบบเต็มๆผู้ใหญ่ก็กลับไม่สนใจเพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระเป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมก็มองอย่างงั้นจริงๆนะ เพราะงูบ้านไหนมันจะกินช้างได้ และรูปแรกที่เด็กวาดเป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ที่มองยังไงก็เป็นหมวก สำหรับบทนี้ผมมองว่าผู้ใหญ่ก็สมควรบอกแบบนั้น แต่ในบทต่อๆไปพูดได้น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงพระราชา นักภูมิศาสตร์ ขี้เหล้า นักบัญชี คนจุดไฟ ที่แทนผู้ใหญ่ในแต่ละกลุ่มในมุมมองของเด็ก ซึ่งถ้าเราได้อ่านและมองในมุมของเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ดูเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ไมว่าจะเป็นนักภูมิศาสตร์ที่ไม่ยอมออกไปสำรวจโลกทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนจดบันทึกเรื่องสำคัญต้องรอให้นักเดินทางมาเล่าเรื่องให้ฟังโดยที่ไม่รู้ว่าจริงไหม หรือนักบัญชีที่หาสิ่งมาครอบครองเต็มไปหมด อยากได้อยากมีเรื่อยๆ ขี้เหล้าที่อยากลืมบางเรื่องด้วยการกินเหล้า ตรรกะของพวกผู้ใหญ่ในมุมมองเด็กนี่คือตัวประหลาดชัดๆ

ดอกกุหลาบ

มีตอนนึงในเรื่องพูดถึงดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบที่มาโผล่ที่ดาวของเจ้าชายน้อย อ่านๆไปก็หมันไส้ตัวดอกกุหลาบมากๆ จนมาถึงช่วงนึงที่เจ้าชายน้อยพูดถึงว่า เขารู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องดอกกุหลาบ เขารำคาญดอกกุหลาบเพราะคำพูดแต่สิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปคือสิ่งที่ดอกกุหลาบทำให้กับเขา เขาตัดสินดอกกุหลาบจากคำพูด แต่ลืมคิดถึงสิ่งที่ดอกกุหลาบทำให้กับเขา การที่ดอกกุหลาบทำให้เขามีความสุข การที่ดอกกุหลาบคุยกับเขา แบ่งปันช่วงเวลาด้วยกัน เรื่องนี้ก็บาดใจเหมือนกันนะเรามักตัดสินคนอื่นจากคำพูดหรือการกระทำบางอย่าง แต่ลืมสนใจหลายๆสิ่ง มันเหมือนเรื่องจุดดำในวงกลมขาวที่เราสนใจจุดดำซึ่งเล็กนิดเดียวแต่กลับละเลยวงกลมสีขาวทั้งหมด ซึ่งแม้เราจะถูกสั่งสอนว่าให้สนใจวงกลมสีขาว แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าทุกคนจะทำตามคำสอนที่ฟังมาสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละคนก็ย่อมมีความคิดความอ่านของตัวเอง

ทำให้เชื่อง

บทนึงพูดถึงหมาจิ้งจอกและการทำให้เชื่องซึ่งเป็นการอธิบายได้ดีว่าการทำให้เชื่องคือการที่เราทำให้บางสิ่งเกิดความสำคัญขึ้นมา ว่าง่ายๆมันคือการสร้างความสัมพันธ์ คนมีเป็นล้านๆแต่ละคนไม่ใช่คนสำคัญของอีกคน แต่เมื่อเราใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนช่วงเวลาที่ย้อนกลับไม่ได้ร่วมกัน ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ขึ้นมา ทำให้คนที่จะเหมือนกันเป็นล้านๆคน กลายเป็นคนคนเดียวของอีกคน ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ในงานค่ายตอนเรียนอุดมศึกษา ได้เห็นน้องจากไหนไม่รู้มาใช้เวลาร่วมกันพอจบค่ายแต่ละคนกลายเป็นคนสำคัญของกันและกันไปซะอย่างนั้น เวลาเราใช้เวลาร่วมกันกับใครแบ่งปันความรู้สึกดีๆร่วมกัน เราจะกลายเป็นคนสำคัญของอีกคนนึงไปนี่อาจจะเป็นนิยามความสัมพันธ์แบบง่ายๆที่เราพยายามหาก็ได้ ประเด็นมันคือเมื่อใดที่เราสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา เราจะกลายเป็นคนรับผิดชอบความสัมพันธ์นั้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะสุข เศร้า งอน รัก และหลายๆความรู้สึก เพราะเขาเป็นคนสำคัญที่มีเพียงหนึ่งเดียวของคุณแล้วยังไงล่ะ

สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา

สำหรับผมบทสุดท้ายกับประโยคนี้เป็นการปิดจบได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว บางครั้งผมก็สงสัยที่คนบางคนให้ความสำคัญกับบางอย่างที่ผมเห็นด้วยตาแล้วมองว่า อะไรวะ แต่สำหรับบางคนเขามองมันแล้วทำให้เขาคิดถึงบางอย่าง พออ่านถึงตรงนี้ผมนึกถึงหนังเรื่องนึงขึ้นมาซึ่งก็คือเรื่อง ข้างหลังภาพ ที่ตอนจบพระเอกมองดูภาพภาพหนึ่ง แล้วภรรยาของเขาถามว่าภาพธรรมดาภาพนี้มีอะไรเหรอ สิ่งที่ทั้งสองเรื่องต้องการจะสื่อคงจะเหมือนกัน

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับเล่มนี้อ่านแล้วได้อะไรนั้น สำหรับผมคงได้ฉุกคิดการถึงการกระทำอันวิปลาสของผู้ใหญ่อย่างผมที่เป็นเหมือนคนจุดไฟบ้าๆทำงานวนไปวนมา ไม่รู้จักจบสิ่น หรือ เหล่านักบัญชี เหล่านักภูมิศาตร์ ที่ทำอะไรแบบวิปลาสในมุมมองของเหล่าเด็กๆ การมองไปที่เด็กๆว่าเรื่องที่เราคิดว่าเด็กไร้สาระ อาจจะเป็นเรื่องที่มีความหมายก็ได้ การพูดถึงความสัมพันธ์ที่เข้าใจง่ายที่เราเปลี่ยนใครไม่รู้ให้กลายเป็นคนสำคัญในชีวิต การพูดถึงสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกสัมผัสมัน

เพลงประกอบการเขียนบทความ

จริงๆบทความนี้ก็ฟังหลายเพลงนะ แต่เพลงที่เล่นขึ้นมาตอนเขียนแล้วแบบเฮ้ยความหมายมันใช่คือเพลง ความคิด เพราะท่อนแรกเลย ยังเดินผ่านทุกวันที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน ถ้าเป็นคนอื่นเขาใช้ตามองมันก็คงเป็นสถานที่ธรรมดา แต่หากเป็นคนใช้ความรู้สึกมอง ที่ที่นั้นจะหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง อาจจะหมายถึงความรัก อาจจะหมายถึงความเศร้า อาจจะหมายถึงคนสำคัญ ดังที่หมาจิ้งจอกมองทุ่งข้าวสาลี ผู้แต่งหนังสือที่มองไปที่ดวงดาว