ฮาวทูทิ้ง = How to ting

ฮาวทูทิ้ง

ฮาวทูทิ้ง ครั้งแรกที่ได้ยินนึกว่าชื่อหนังสือที่สอนให้คนทิ้งของ (บริจาคของ) ออกจากบ้าน แต่พอฟังไปฟังมาอ้าวนี่มันโฆษณาหนังนี่หว่า ซึ่งตัวอย่างมีเนื้อเรื่องถึงนางเอกที่พยายามจะจัดบ้านหรือทำบ้านไรสักอย่างแล้วต้องทิ้งของแล้ว แต่พอเจอของที่ต้องทิ้งแล้วทำให้นึกถึงเรื่องเก่าซึ่งทำให้เราสงสัยว่าตกลงนางเอกจะทิ้งหรือไม่ทิ้ง แล้วก็มีการแชร์ใน Facebook เรื่องการ Move on และก็เป็นกระแสกัน

คะแนนรีวิวอย่างสูง

พอหนังเข้าโรงก็มีคนมาให้คะแนนรีวิวอย่างสูงเลยครับ บาง Page นี่ 8.5 - 10 (ไอ 10 นี่น่าจะ Page อวย ซึ่งแม่งให้ 10 ทุกเรื่องเลยมั้ง) เพื่อนที่ไปดูมาก็บอกว่าเฮ้ยแม่งโคตรสุดว่ะ ต้องไปดู ตัวผมเองก็เก็บความสงสัยว่ามันจะขนาดไหนวะ สักพักก็มีเพื่อนบอกว่า หนังของผู้กำกับคนนี้เลยนะเว้ย ซึ่งผมก็พอรู้จักชื่อแล้วก็เห็นเพื่อนแชร์ใน Facebook เยอะอยู่เหมือนกัน ซึ่งหนังหลายเรื่องของเขาก็ดังจริง

เขาว่าดีงั้นก็ดูแม่งเลยละกัน

ไม่นานรุ่นน้องผมก็ชวนผมมาว่า “พี่ดูฮาวทูทิ้งไหมพี่” พอมันชวนมาก็เลย เออไปดูแม่งเลยละกันเขาบอกว่าดีอย่างงั้นอย่างงี้ มันจะเป็นไงวะ ก็เลยตกลงกับน้องว่าจะไปดู (ต้องขอบคุณมันด้วยที่ทำให้สามารถซื้อตั๋วได้ในราคาถูก) ก่อนดูก็ไปอ่านดูว่าเนื้อเรื่องน่าจะเกี่ยวกับอะไร อ่านไปอ่านมาเห็นมีแต่คนพูดเรื่อง Move on อะไรสักอย่าง สักพักพูด Move on เป็นวงกลม อะไรก็ไม่รู้ก็เลย เออช่างแม่งไปดูในโรง ไม่ต้องปูพื้นห่าไรก่อนไปดู เอาแบบนั่งรอดู Big cinema ช่อง 7 สมัยเด็กๆเลย เปิดเจอปุ๊ปนั่งดูยาวๆ

ดูแล้วเป็นไงบ้าง แบบไม่สปอย (วิจารณาญาณส่วนบุคคล)

นั่งดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกอึดอัดแต่ก็ไม่อึดอัดมาก ถือว่านั่งดูได้เรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ เพลินๆ แล้วหนังก็จบลง สิ่งที่อยากชมในเรื่องนี้คือนักแสดงครับ บอกเลยว่านักแสดงเล่นได้เก่งมาก คือเล่นแล้วสื่ออารมณ์ให้เราเห็นได้ ฉากที่อึดอัดมันทำให้เราเห็นว่าอึดอัดจริงและเข้าใจง่าย ซึ่งทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์ที่คล้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งผม Review แบบไม่สปอยได้แค่นี้จริงๆ เพราะถ้าคุณอ่านต่อคุณจะเสียสิ่งที่มันจะทำให้คุณประทับใจไปแน่ๆ ซึ่งผมโดนมาแล้วมันเลยทำให้ผมไม่รู้สึกประทับใจกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับตัวหนัง แต่เกี่ยวกับคนดูล้วนๆ ซึ่งในหนังกำลังจะบอกคุณให้รู้ด้วย

ดูแล้วเป็นไงบ้าง แบบสปอย (วิจารณาญาณส่วนบุคคล)

ต่อจากนี้เป็นสปอย คือ มันต้องเล่าว่าเรื่องเป็นยังไงถึงจะบอกอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกยังไง ทำไมถึงบอกว่ามันดีหรือไม่ดี เอาล่ะต่อจากนี้จะสปอย และอธิบายว่ารู้สึกยังไงตอนดู แล้วก็ที่เล่าเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล และมาจากคนธรรมดาไม่ใช่คนดูหนังเป็น หรือดูหนังเรื่องนี้แล้วเข้าใจ แล้วก็เราใช้ชีวิตมาคนละรูปแบบเลยทำให้เราอาจจะมองมันในคนละมุม

ดูได้เรื่อยๆ จุกได้เรื่อยๆ ถ้าคุณไม่เคยยอมรับ

สำหรับผมการดูหนังเรื่องนี้คือให้ความรู้สึกแบบดูไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆจริงๆ คือมันก็ตามสูตรหนังหรือนิยายที่ผมเคยอ่านตอนจะหัดแต่งนิยายที่บอกว่าหนังหรือนิยายต้องเขียนเป็นแบบ ปูเรื่องบอกว่าตัวเอกเป็นคนแบบไหนแล้วให้ตัวเอกเจอจุดพลิกผัน ซึ่งทำให้ ตัวเอกทำไรสักอย่าง แล้วก็เจอจุดพลิกผันอีกครั้ง แล้วจะจบแบบไหนก็แล้วแต่จะให้จบ ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ก็คือปูเรื่องว่านางเอกเนี่ยมันเป็นพวกแบบไม่สนไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แม่งกลับบ้านมาอยากใช้บ้านตัวเองเป็นสำนักงานเว้ย ซึ่งแม่งก็เอาง่ายเลยทิ้งแม่งทุกอย่างโดยไม่แคร์ห่าอะไร แต่แม่งมาเจอจุดพลิกผันตรงที่การทิ้งของของมันเนี่ยไปทำให้คนอื่นเสียใจ แล้วแม่งก็มาโดนกับตัวคือพี่ชายแม่งทิ้งของของแม่งไง คือคนเราถ้าไม่โดนกับตัวก็ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง จากนั้นก็เริ่มทำตัวใหม่จากจะทิ้งเปลี่ยนเป็นคืนแทน พอคืนก็ได้รับความรู้สึกดีจากเพื่อนๆ หรือ อาจได้ขอโทษคนที่ทำผิดด้วย ฉากไปขอโทษแฟนเก่านี่คือแบบเข้าใจเลย เวลาต้องไปขอโทษใครสักคนโดยที่เรารู้ว่าผิดเต็มอกแต่แม่งไม่กล้าขอโทษ ซึ่งพอเราได้ขอโทษมันรู้สึกแบบเหมือนยกภูเขาออกจากอก แบบเออจบละ กูหลุดพ้นจากบาปที่เราสร้างไว้ละ แต่คุณเคยคิดไหมว่าคนที่คุณไปขอโทษเขาจะรู้สึกยังไง คือมันไม่มีใครหรอกเว้ยที่จะตบหน้าคนที่มาขอโทษคือถึงจะไม่โอเคแต่เราก็ต้องให้มันขอโทษรึเปล่าวะ มันปกติเหี้ยๆมากจริงๆ แล้วหนังก็เอาประเด็นปกติเหี้ยๆนี้ที่ทุกคนไม่กล้าพูดเอามาฟาดหน้าคนดูในฉากที่ ตัวแฟนเก่าบอกความรู้สึกจริงๆกลับไปว่าโกรธแค่ไหน บอกว่ายังไงวะ มาขอโทษ กูก็ต้องรับคำขอโทษ แล้วก็ต้องยินดีไม่เอาเรื่องกับสิ่งที่มึงทำกับกูหรอ

ทุกคนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น

ประเด็นนี้เป็นอีกประเด็นที่หลายคนแบบเหมือนโดนไม้ฟาดหน้าคือเรามักถูกสอนว่าต้องทำเพื่อคนอื่น ซึ่งมันเป็นคำสอนที่ดี แต่เราลืมอะไรไปรึเปล่า ที่เราทำเพื่อคนอื่นอะเราทำเพื่อคนอื่นจริงๆ หรือทำเพื่อตัวเองวะ หนังเรื่องแสดงให้เราเห็นเรื่องนี้ได้ดีในจุดพลิกผันที่สองของเรื่อง ซึ่งหลายคนคงจุกแบบจุกเหี้ยๆมากจริงๆ คือเราขอโทษคนอื่นเพื่อให้เราพ้นผิดจากความละอายใจที่เราทำผิดเว้ย สำหรับผมเรื่องเวรกรรมแม่งไม่มีจริงเว้ย มันมีแต่ความละอายใจที่เราทำผิดกับคนอื่น ซึ่งหนังเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นผ่านตัวนางเอก คือเขาละอายใจกับเรื่องที่ทำเลยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองก้าวข้ามความละอายใจนั้น ไม่ว่าจะทำดีกับแฟนเก่า ขอโทษแฟนเก่า เอาของไปคืนเพื่อนแต่ละคน

ถ้าคุณไม่สนใจ ไม่นึกถึง คุณก็ไม่รู้สึก

ประเด็นนี้ผมชอบมากคือมันปูให้เราเห็นตั้งแต่การที่นางเอกแม่งทิ้งของเว้ย แต่เมื่อไหร่ที่เราไปรู้สึกแม่งก็จะรู้สึกขึ้นมาซะงั้น แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นคนที่ไม่มีเยื่อใยจะทิ้ง จะเผา ก็ช่างแม่ง ดูได้จากฉากตอนจบที่นางเอกฝากพี่ชายทิ้งของ อีกฉากคือแม่ของนางเอกมาโวยวายตะโกนเรื่องเปียโน คือแม่งจะเป็นเรื่องเสียความรู้สึกเหี้ยๆแน่นอนถ้าไปคุย ไปสนใจ ไปนึกถึง แต่นางเอกใส่หูฟังเว้ย พอไม่ได้ยิน ไม่สนใจ ไม่เอามาคิด เราก็ไม่รู้สึกเหี้ยอะไรเลยจริงๆ เหี้ยง่ายไหมล่ะ วิธีจัดการความรู้สึกง่ายๆ ซึ่งคำตอบนี้เราก็รู้อยู่ในใจกันทุกคนแต่ไม่ทำ หรือเลือกที่จะไม่ทำ

เราเลือกสิ่งที่อยากเห็น เราตีค่าทุกอย่างตามความต้องการล้วนๆ

ประเด็นเล่นในหลายๆฉาก ไม่ว่าจะฉากรูปถ่ายที่พูดมาตรงๆว่ารูปนี้สมัยก่อนแม่งแทบไม่มีค่า แต่พอจะแต่งงานแม่งกลับมีค่าขึ้นมาซะงั้น สิ่งเดียวกันแท้ๆ พอให้ค่าแม่งมีค่า พอไม่ให้ค่าแม่งไร้ค่า การ์ดปีใหม่ถ้าเป็นนางเอกก่อนเจอจุดพลิกผันแม่งคงเป็นแค่กระดาษ แต่พอเริ่มให้ค่ามันไอเชี่ยถึงกับต้องโทรไปหาแฟนเก่า ซึ่งแม่งเป็นเรื่องตลกๆมาก และเราก็รู้อยู่แก่ใจแต่ทำเป็นลืมๆไป

ความรู้สึกส่วนตัว

สำหรับผมการดูหนังเรื่องนี้เหมือนได้อ่านหนังสือปรัชญาเล่มนึง ใช่ครับ มันเหมือนอ่านหนังสือปรัชญาที่สอนในแนวทางที่คนไม่ค่อยชอบฟัง หรืออ่านพระธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆไม่ได้อ่านเรื่องปาฏิหารย์ต่างเรื่องเกิดมาเดิน 7 ก้าว มีพลังปาฏิหารย์หยุดช้าง เหาะเหินเดินอากาศ หนังสือพวกนี้จะบอกสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วแต่คุณไม่อยากยอมรับ เช่น กล้าที่จะถูกเกลียด พูดว่า “คนเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะตัวเองเลือกที่จะเป็นแบบนั้น” นิชเช่พูดถึงเรื่อง “การดูแคลนกาย” “พระเจ้าตายไปแล้ว” พระพุทธเจ้าพูดเรื่อง “ขันธ์ 5” ซึ่งพออ่านแล้วมันจุกมันเหมือนถูกไม้ฟาดหน้า คุณจะประทับใจกับการอ่านมันเพราะมันกล้าที่จะบอกคุณตรงๆในเรื่องที่คุณไม่อยากยอมรับ แต่เพราะผมอ่านหนังสือพวกนี้มาหลายเล่ม พอมาเจอหนังเรื่องนี้มันเหมือนเรารู้อยู่แล้วมันเลยไม่ประทับใจ ไม่จุกเท่าที่ควร แล้วพอดูแล้วจังหวะการเล่าเรื่องและตอนจบมันคล้ายกับเรื่อง Up in the air ที่ตอนจบเขาทิ้งเราไว้กับพระเอกที่เสียจุดยืนในการใช้ชีวิตของตัวเองไปแล้ว มันเลยเหมือนเคยดูมาแล้วอีก (เคยมีคนบอกว่ายิ่งดูหนังมากเท่าไหร่ ยิ่งสนุกน้อยลงท่าทางจะจริง)

สรุป

สำหรับผมเรื่องนี้เป็นหนังดีนะให้ความรู้เหมือนอ่านหนังสือปรัชญาตามที่ผมบอก แต่ถ้าคาดหวัง เนื้อเรื่อง ลุ้น ตื่นตา หักมุม ไม่มีครับเรื่องนี้ไม่มีเลย แต่ถ้าชอบดำดิ่งไปกับอารมณ์ความรู้สึก อยากลองยอมรับสิ่งที่รู้มานานแต่ไม่กล้ายอมรับแล้วก็ลองไปดูครับ แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วผมว่าคุณคงไม่อินกับมันแล้วแหละด้วยเหตุผลเดียวกับที่ผมไม่อิน

หนังสือปรัชญาที่เล่าให้ฟัง

กล้าที่จะถูกเกลียด 1
กล้าที่จะถูกเกลียด 2
ซาราธุสตราตรัสไว้ดังนี้