ความทรงจำปี 2019

ปี 2019 ที่ผ่านมา

ปีนี้รู้สึกเป็นปีที่ผ่านไปไวมาก จำได้ว่าขึ้นปีใหม่แล้วจะทำอะไรหลายๆอย่างแต่ไม่เป็นไรอ้าวนี่เดือนธันวาแล้ว พอมองย้อนกลับไปปีนี้เป็นปีประหลาดเหมือนกัน

ตามไอดอล

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ชอบบอกคนอื่นเสมอว่า “เฮ้ย เอาเงินไปเสียเงินกับไอดอลคิดดีแล้วเหรอวะ” ไม่คิดว่าการไปดูไอดอลกับเพื่อนครั้งนั้นทำให้ตามไอดอลกับเขาด้วย การตามไอดอลนี่ทำให้ได้ไปทำอะไรหลายๆอย่างนะ ไม่ว่าจะไปเซกิ ไป Fan meeting ไปดูคอนเสิร์ตวงไอดอล ไปกินข้าวปั้นฝีมือไอดอล แต่ถ้าถามว่าไปสุดไหมจริงๆก็ไม่สุดนะคือไม่ได้เชียร์ ยิงอะไรสักอย่างอย่างที่เขาทำกัน คือจะทำแล้วมันก็เขินอะนะ จริงๆก็กะตามน้องคนที่ชอบไปเรื่อยๆนะ งานไหนมีเวลาว่าง เงินพอมีก็จะไป แต่ตามได้แค่ครึ่งปีน้องป่วยจนเป็นไอดอลต่อไม่ได้ซึ่งทำให้ต้องกลับญี่ปุ่นก็เลยทำให้ไม่ได้ตามต่อ (จริงๆก็ตามต่อใน Facebook youtube แล้วตลกมากๆตรงเข้าไป comment น้องเขาคนเดียวใน Youtube บรรยากาศนี่อย่างเหงาเลย) ตอนนี้ก็ห่างหายไปละ มีไปตามวงที่ชอบที่เหลืออยู่บ้างแต่ไม่ได้เท่าตอนตามใหม่ๆละ

ไปสิงคโปร์

รอบนี้มีพี่ที่รู้จักที่สิงคโปร์พาไปโดยไปอยู่กับเขาเลย ซึ่งพี่เขาพาเที่ยวแบบที่คนสิงคโปร์เขาเที่ยวกัน คือไปที่ๆพวกทัวร์ไม่พาไป พาไปสวนสาธารณะ พาไปที่เที่ยวแปลกๆ กินอาหารแบบที่คนสิงคโปร์ธรรมดาทั่วไปเขาใช้ชีวิตกินกัน ถือเป็นการเที่ยวที่สนุกมากๆ

ไปโตเกียว

ไปดูภูเขาไฟฟูจิ

เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งที่สองในชีวิตซึ่งครั้งนี้ไปเที่ยวที่โตเกียว โดยบรรยากาศเป็นเมืองไม่เหมือนรอบที่แล้วที่เป็นธรรมชาติ ถือว่าเป็นความประทับใจที่ได้ไปเห็นเมืองของประเทศที่หลายคนบอกว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว สิ่งที่ทึ่งมากๆคือระบบรถไฟใต้ดินของเขาที่ตรงเวลาโคตรๆ คือบอกเลยว่าใช้ Google map แล้วเลือกว่าจะเดินทางไปไหนโดยใช้รถไฟใต้ดินนี่ไม่มีหลง คือแม่งเป๊ะมาก อีกเรื่องที่อยู่ในความทรงจำคงเป็นภูเขาไฟฟูจิ คือเราเห็นภูเขานี้ผ่านเกมส์ ผ่านการ์ตูน หนัง แต่เราไม่เคยเห็นของครั้งนี้พอได้มาเห็นของจริงก็ “อือ เหมือนในหนังเลยว่ะ” ก็ตลกดีที่เราไม่ว้าวแต่ก็ถ่ายรูปเก็บมาเยอะเหมือนกันเพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ไปอีกแล้ว

หอคอยโตเกียว

อันนี้คล้ายๆภูเขาไฟฟูจิ เห็นตั้งแต่เด็ก พอมาเจอของจริงก็ “เหมือนในการ์ตูนเลยว่ะ”

งานแต่ง

อีกอันที่โคตรดวงดีไปเจอคือตอนไปเที่ยวแบบไม่มีจุดหมายในโตเกียวโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน พอไม่รู้เลย Search google เขาแนะนำให้เที่ยวสถานที่ในเมืองซึ่งเป็นวัดญี่ปุ่น (อารมณ์เหมือนฝรั่งมาไทยแล้วเที่ยววัด) ก็เลยเดินเที่ยววัดแถวนั้น ซึ่งวัดบางวัดนี่อย่างเงียบเหงาคือเข้าใจอารมณ์หนังผีญี่ปุ่นที่แม่งอยู่ในวัดมาก คือเข้าไปแล้วไม่รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นเลย แล้วระหว่างเที่ยววัดนึงเห็นมิโกะกำลังเดินเข้าเดินออกจากศาลาหลักก็เลยหยุดดู เฮ้ย เขากำลังแต่งงานกันอยู่ว่ะ เลยอยู่ดูเป็นสักขีพยานการแต่งงานแบบญี่ปุ่น (เข้าใจว่าแบบดั้งเดิมของเขา) ในพิธีนี่มีคนที่แต่งตัวเป็นสมมุติเทพมาทำพิธีให้ด้วย ดูแล้วอย่างว้าว ว้าวแบบจะมีกี่ครั้งวะที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วจะเจอคนแต่งงานกันแล้วได้ยืนดูใกล้ขนาดนี้ (ไม่ใกล้มากแต่ใช้กล้องซูมดูเอา)

กินข้าวที่ลานจอดรถ

อันนี้คืออีกหนึ่งความทรงจำคือไปซื้อของที่ร้านในวัดโคมแดงมากินแต่ไม่มีที่นั่งเว้ย คือแม่งไม่มีที่นั่งเลย จะยืนกินก็ยืนไม่ได้เพราะอาหารที่ซื้อมาหนักมากยืนกินมือเดียวไม่ได้ ก็เลยเดินหาที่นั่งจนมาเจอลานจอดรถเราก็เลย “กินแม่งตรงเนี้ยแหละ” ก็เลยนั่งกินอาหารที่ลานจอดรถ ที่พีคกว่านั่งกินที่ลานจอดรถคืออาหารแม่งเลี่ยนมาก เลี่ยนเหี้ยๆ เลี่ยนแบบ ไอสัดกินไปได้ยังไง กินไป 75% ก็ไม่ไหวละ ถ้ากินอีกอ้วกแน่นอนก็เลยทิ้งไป

บริษัทเริ่มเปลี่ยน

หลังจากเป็น Developer ปากหมามาได้นานพอสมควร ผ่านเรื่องน่าเบื่อหน่ายมามาก จนผู้ใหญ่มองว่าถ้าให้ทำตรงนี้ต่อน่าจะเละเป็นแน่แท้ (ฮ่าๆๆๆ) ทางผู้ใหญ่เลยให้ลองเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นดู ประจวบเหมาะกับพี่ที่มีความรู้เกี่ยวกับระบบงานพวก CI และ GCP เข้ามาในบริษัท ก็เลยโดนมอบหมายให้ศึกษาและทำให้บริษัทเริ่มไปใช้เทคโนโลยีที่คนปัจจุบันกำลังใช้กัน คือพูดอย่างงี้หลายคนคงบอกว่าเชยจัง เขาใช้มากันจะ 4 -5 ปีแล้วซึ่งสมัยก่อนผมก็คิดอย่างงั้นแหละครับ แต่ถ้าคุณมาเจองานจริง มันมีข้อจำกัดหลายๆอย่างที่คนที่เขาดูแลระบบมาก่อนเขาเคยเจอ แล้วถ้าคุณจะใช้วิธีใหม่คุณก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเก่าด้วยวิธีใหม่ของคุณให้ได้ก่อน ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่หัวหน้าผมพูดว่า “ถ้าคุณไม่เข้าใจว่าปัญหาคืออะไรแล้วจะเครื่องมือใหม่หรือวิธีการใหม่ที่เข้ามามันช่วยแก้ปัญหานี้ยังไง การเปลี่ยนเครื่องมือหรือวิธีการก็ไม่ได้ช่วยอะไร” ก็ถือเป็นการทำงานที่หัวหมุนน่าดู ต้องหาในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่รู้แบบเคว้งเลย ติดก็ต้อง Search หาเอาใน Google เจอแล้วก็ต้องเข้าใจว่ามันทำงานยังไง ไม่ใช่ Copy วาง จบปีอะไรก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น อะไรที่เคยหวังจะเห็นตอนมาทำงานใหม่ๆก็ได้เห็น ปีหน้าคงมีอะไรที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกเยอะไม่ว่า Cloud platform ต่างๆ Framework ใหม่ๆ วิธีการ Design Application ในโลกจริง

ดูละครเวที + ดูละครเวที

จากปีที่แล้วที่เฮิร์ตแล้วไม่รู้จะทำอะไรเลยไปดูละครเวที พอมาปีนี้เลยกลายเป็นเห็นประกาศแสดงอะไรก็ไปดูทุกที (แต่ต้องเป็นแบบไม่เสียเงินนะถึงจะไป) ซึ่งการดูละครเวทีนี่ก็ทำให้เราเห็นว่านักแสดงมีผลกับละครหรือหนังยังไงนะ คือไปดูมาเรื่องนึง บทแม่งเหี้ยมากดูไปไม่รู้เรื่องเลยว่าจะสืออะไร แต่ตัวละครเล่นได้สมบทบามมากจนเราสนใจตัวละครมากกว่าเนื้อเรื่องเสียอีก หรือบางเรื่องนักแสดงแค่สองคนแต่ดูแล้วรู้สึกคุ้มกว่าหนังที่เสียเงินไปดู 100 - 200 อีก สำหรับใครที่อยู่แถวกรุงเทพแล้วอยากดูละครเวทีดีๆที่ไม่เสียเงิน (บางเรื่องอาจเสียบ้าง แต่เสียแล้วอลังการ) ก็แนะนำที่ https://www.dramaartschula.com/

อ่านหนังสือปรัชญา

ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการอ่านหนังสือปรัชญาคือซื้อหนังสือพวกปรัชญามาอ่านเยอะมากโดยส่วนใหญ่เป็นหนังสือปรัชญากบฏหรือพวกแนวทางที่ไม่ใช่กระแสหลัก ซึ่งอ่านแล้วทำให้เห็นมุมมองใหม่ แล้วก็เอามาใช้ในชีวิตประจำวันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องการแบ่งแยกธุระ เช่น ธุระของเราคือการทำงาน ส่วนว่าเขาจะถูกใจกับงานที่เราทำหรือการตอบสนองของเขาใหม่เป็นธุระของเขา ถ้าไม่ดีธุระของเขาคือการแจ้งให้เราทราบ ส่วนธุระของเราคือนำมาตรวจสอบและดูว่ามันควรเปลี่ยนหรือไม่ ถ้าเราแยกธุระเป็นเราก็ไม่ต้องสนใจธุระที่ไม่ใช่ของตัวเองชีวิตก็ลดเรื่องกังวลใจไปได้เยอะ หรือแนวคิดของแอดเลอร์เรื่องอดีตไม่ได้เป็นตัวตัดสินพฤติกรรมหรือการกระจำปัจจุบัน ตัวเราต่างหากที่ตัดสินใจว่าจะมีพฤติกรรมแบบไหน อันนี้ถือเป็นแนวคิดที่ช่วยในการใช้ชชีวิตได้ดี แต่ก็ยังเอามาใช้ไม่หมด แต่ก็จะพยายามเอามาใช้ให้ได้มากขึ้น

ปีแห่งความล้มเหลว

ปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้หลายอย่างแต่ล้มเหลวเกือบทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็น

  • ทำ Blog ความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม (ที่อัพเดททุกสัปดาห์)
  • วิ่งออกกำลังกายทุกสัปดาห์
  • อ่านหนังสือสัปดาห์ละเล่ม
  • เขียน Tools ช่วยในการทำงาน
  • ฝึกเล่นกีต้าร์
  • ฝึกใช้งาน GCP แบบที่เอาไปทำงานได้
  • ฝึก Tradeoff ในการเลือกใช้เทคโนโลยีว่าควรจะใช้ตัวไหน
  • และอีกมากมาย

อีกมากมายคือมากมายจริงๆ เยอะแบบมาคิดดูแล้วแย่มาก คือถ้าคิดว่ามีชีวิตเหลืออีก 10 ปี (เคยคิดว่าอายุไม่น่าเกิน 40 เพราะน่าจะตายด้วยโรค) แล้วเรื่องอยากทำยังเหลือเยอะเป็นภูเขาเลย

สรุป

สำหรับปีนี้ก็คงเหมือนเดิมที่ไม่ได้สรุปว่ามันเป็นปีที่ดีหรือปีที่ไม่ดีเพราะอดีตผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว เหลือไว้ให้คิดถึงและเป็นบทเรียน ที่สำคัญสุดคือตอนนี้เวลานี้ว่าเราจะทำอะไร

หลายๆเพลงที่ฟังในปีนี้