Melt Mallow Goodbye stage

ความทรงจำ

ตอนเด็กเคยดูสารคดีเกี่ยวกับศิลปะแบบหนึ่งที่พูดถึงการพยายามวาดรูปให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาบรรยากาศในขณะนั้นได้มากที่สุด (ก็เพราะสมัยนั้นไม่มีเครื่องถ่ายภาพ เครื่องอัดวิดีโอ) วันนี้ก็เลยยึดหลักการนั้นในการเขียนบันทึกความทรงจำความรู้สึกก่อนที่มันจะเลือนลางไปมากกว่านี้ (จริงๆอยากจะเขียนตั้งแต่กลับมาละ แต่ไม่ไหวมันดึกเกิน) เผื่อในอนาคตเวลากลับมาอ่าน Blog จะจำได้ว่าวันนั้นเป็นยังไงเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วมีความรู้สึกยังไง

การได้เจอวงนี้ครั้งแรก

วงนี้รู้จักครั้งแรกไปงาน Idol expo ที่ไบเทคบางนา ตอนนั้นคือจะไปดู นิโกะ siamdream แต่มาเห็นโปรโมทวงใหม่วงนี้ก็เลยเข้าไปดู เฮ้ยนี่มันวงดนตรีนี่นา คือวงดนตรีจริงๆเล่นดนตรีจริงๆ กีต้าร์ กลอง เบส คีย์บอร์ด มีหมด เล่นเอง ร้องเอง เฮ้ยเจ๋ง เสียดายที่งานนั้นเครื่องเสียงไม่ดี คุณภาพเสียงเลยไม่ดีตาม เลยฟังไม่ค่อยสนุก พอฟังเสร็จก็เลยเชกิด้วย ซึ่งน้องที่ไปเชกิด้วยแต่ละคนน่ารักมากๆ ไม่ว่าจะน้องปิ่น น้องมุก น้องข้าวเจ้า (เสียดายที่ไม่ได้เชกิกับทุกคน เพราะเงินมีจำกัด) จากนั้นก็ติดตามผลงานของวงนี้เรื่อยๆมา งานไหนพอเดินทางไปได้ก็ไป งานไหนไปไม่ได้ก็ดู โดยเพลงของวงนี้นั้นความหมายดี มี Concept ที่ดี ไม่ว่าจะ

Mirror

ที่พูดถึงไม่ว่าจะเศร้าใจแค่ไหน ไม่มีใครเข้าใจแต่อย่างน้อยมีตัวเราที่ยังเข้าใจ

เป็ด

พูดถึงคนที่ทำอะไรได้หลายอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง ซึ่งขัดกับกระแสหลักของสังคมที่ต้องการ specialist ในสายงานนั้น คนเหล่านี้จึงถูกตีค่าว่าด้อยกว่าคนทั่วไป ซึ่งจริงๆคนจำพวกเป็ด (generalize) นั้นก็เป็นทักษะหนึ่งที่เป็นที่ต้องการในปัจจุบันที่บริษัทนั้นเน้นไปที่จำนวนคนที่น้อยแต่ต้องการคนที่ทำได้หลายอย่างๆแทน ส่วนงาน Specialist สุดๆนั้นส่วนใหญ่จะถูก Outsource ไปให้บริษัทอื่นทำหมดแล้ว ตัวอย่างง่ายๆในสายงานคอมพิวเตอร์ น้อยบริษัทนักที่จะจ้าง specialist ด้านการทำ Image processing ส่วนใหญ่จะ Outsource ให้บริษัทที่เชี่ยวชาญทำ

Which Witch

Which Witch ที่พูดถึงการล่าแม่มด การตัดสินคนอื่น ว่าการที่เราตัดสินคนอื่น ต่อว่าคนอื่น แล้วเราจะต่างอะไรจากเขาที่เป็นแม่มดทำร้ายคนอื่น

Sea Lestrail Entertainment

หลังจากตามวงนี้มาเรื่อยๆ ทางผู้จัดก็พัฒนามาเป็นค่าย มีทำ Trainee ออกเพลงดีๆออกมาหลายเพลง มีทำ Unit ด้วย แต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาทางวงก็ประกาศว่าจะยุบวง ตอนนั้นนี่รู้สึกเสียดายมากๆ แบบจะได้ไม่ฟังเพลงความหมายดีๆจากวงนี้แล้วเหรอ แต่ก็เข้าใจนะ ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา วงดนตรีหลายๆวงที่เราชอบฟังก็ยุบวงเพราะถึงเวลาอันสมควรด้วยเหตุผลต่างๆ

Goodbye stage

ซึ่งมันก็คือการแสดงครั้งสุดท้ายนั่นแหละ ซึ่งเป็นการแสดงแบบวงดนตรี คือถ้าไปตามงาน Idol บางงานวงนี้จะเล่นแบบวงดนตรีไม่ได้เนื่องจากเวทีไม่เอื้ออำนวย ซึ่งผมชอบแบบเล่นแบบวงมากกว่า งานนี้เลยเต็มใจจ่ายเงินแบบไม่ต้องคิดอะไร

การแสดงในงาน

ก็เขาจัดงานที่ The Street รัชดาที่ชั้น 3 Horizon ซึ่งเป็นเหมือนห้องซ้อมดนตรีอะนะ ซึ่งเขาไปจัดในห้องที่จัดการแสดงได้ น้องก็แสดงเพลงของวงเพลงต่างๆไล่ตาม Single ไปตั้งแต่ Single แรก Mirror -> เป็ด -> Which Witch รอบนี้ได้ฟังเสียงแบบเต็มๆ คือฟังแล้วสนุกมาก ดีกว่าตอนฟังที่งาน Idol หลายเท่าตัว จากนั้นน้องก็เริ่มแสดงเพลงของ Unit ตัวเอง โดยเริ่มจาก

Philophobia

เพลงจาก Unit ของน้องปิ่นกับน้องมุก แสดงเพลง Philophobia (โรคกลัวความรัก) น้องทั้งคู่เต้นน่ารักมากๆ ซึ่งเพลงนี้น้องมุกแต่งท่อน Rap เอง ส่วนน้องปิ่นคิดท่าเต้น โอ้ย น่ารักเหมือนใน MV เลย

My Moon

เพลงจาก Unit ของน้องข้าวเจ้ากับน้องแจม โดยส่วนตัวชอบเป็นเพลงที่ชอบมาก เนื้อหาเกี่ยวกับการคิดถึงใครบางคนแล้วเราเปรียบเขาเหมือนดวงจันทร์ (+ น้องข้าวเจ้าอยู่ Unit นี้ เลยยิ่งชอบ ) อีกทั้งเพลงยังเปิดช่องให้เราตีความหมายของพระจันทร์ด้วย ชุดน้องในงานแสดงน่ารักทั้งคู่เลย แต่งสีขาวสีดำตัดกัน

การแสดงการเต้นของ น้องแพร น้องบี

เสียดายที่ Unit นี้ยังไม่ได้ออกเพลงเลยอดฟังเพลงของน้องทั้งคู่ในงานวันนั้น แต่ก็แลกมาด้วยการเต้นน่ารักของทั้งคู่ โดยพึ่งรู้ว่าน้องทั้งคู่เต้นเก่งมาก ปกติเห็นแต่เล่นเบสกับคีย์บอร์ดเลยไม่รู้ว่าจริงๆน้องเต้นเก่งกันมากๆ

ต่อไปจะเป็นการแสดงของแต่ละคนโดยเริ่มจาก (ลำดับอาจมีผิด เพราะจำไม่ค่อยได้แล้ว เดี๋ยวจะมาแก้ถ้าทีมงานเขาลงคลิปการแสดงแล้วนะ)

น้องแพร

น้องแพรเต้นประกอบเพลงการ์ตูนสักเพลงซึ่งผมไม่รู้จัก (ฟังแต่เพลง OP & ED ของการ์ตูนยุค 2000 ) แต่เพลงก็เพราะดี น้องเต้นเก่งมากแบบไปเอาพลังงานมาจากไหน ทั้งๆที่เมื่อกี้พึ่งเต้นเสร็จ แบบยอมในความสามารถของน้องจริงๆ

น้องมุก

น้องมุกมาแสดงร้องเพลงซึ่งน่าจะเป็นเพลงภาษาเกาหลีไม่ก็ญี่ปุ่น ซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้ได้ว่าน้องพยายามร้องได้ ตอนจบการแสดงน้องพูดความในใจของตัวเอง ย้อนความรู้สึกตั้งแต่ก่อนมาเป็นไอดอลตอนที่อยากมาแสดงบนเวที ขอบคุณทีมงานและแฟนคลับที่ติดตามวงทุกคนที่คอยสนับสนุนตัวเองมาถึงจุดนี้

น้องบี

น้องบีมาแสดงร้องเพลงโดยมาในชุดนางฟ้า บอกเลยว่าน่ารักจัดๆ ตอนน้องยิ้มนี่น่ารักโคตรๆแบบโอ้ย นางฟ้าตัวจริงเลยนะเนี่ย ซึ่งหลังแสดงเสร็จน้องก็บอกว่า สมัยก่อนมาเป็นไอดอลไม่กล้าร้องเพลงเพราะเสียงเพี้ยนมากๆ แต่ตอนนี้ตัวเองกล้าร้องเพลงแล้ว ขอบคุณทีมงาน ขอบคุณแฟนคลับที่ช่วยให้น้องเขามาถึงวันนี้ ช็อตนั้นนี่ซึ้งมากเลยนะ รู้เลยว่าน้องเขาพูดมาจากใจจริงๆ

น้องแจม

น้องแจมมากับเพลงอะไรสักเพลงที่ผมก็ไม่รู้จัก แต่น้องบอกว่าเป็นเพลงลึกและไม่ค่อยมีคนฟัง ถ้าเทียบกับรุ่นผมก็คงเพลงหน้า B ของเทป ซึ่งฟังแล้วก็ลึกจริง เพลงคงจะเกี่ยวกับความโศกเศร้าบางอย่าง เดี๋ยวคงต้องไปหาฟังแล้วก็หาคำแปลว่ามันแปลว่าอะไร

น้องปิ่น

น้องปิ่นมากับชุดดำน่ารัก มาพร้อมกับเพลงญี่ปุ่นที่แปลเป็นไทยซึ่งน้องปิ่นร้องเองซึ่งเพราะมาก พอร้องจบน้องก็บอกว่างานนี้คงเป็นงานสุดท้ายในฐานะไอดอล ต่อจากนี้น้องจะไปทำงานในฐานะอื่น แต่ปิ่นก็คือปิ่นอมยิ้มคนเดิมของทุกคน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามคอยสนับสนุนมาตลอด น้องซึ้งจนร้องไห้เลยนะ

น้องข้าวเจ้า

น้องข้าวเจ้า (นักร้องนำมาคนสุดท้ายเลย) มาร้องเพลงพร้อมเล่นกีต้าร์ด้วยตัวเอง จากนั้นก็เชิญแขกรับเชิญพิเศษคือ น้องอัลตร้า (น้องคนนี้ก็เป็นไอดอลนะ) น้องสาวแท้ๆของน้องข้าวเจ้ามาร้องเพลงด้วยกัน ซึ่งมารู้ทีหลังว่าแต่ละเพลงที่น้องเอามาร้องนั้นมีความหมายแทนอะไรหลายๆอย่าง

จบ Stage

สุดท้ายน้องทุกคนก็ออกมารวมตัวพร้อมกล่าวขอบคุณทีมงานและแฟนคลับ พร้อมถ่ายรูปที่ระลึกร่วมกันด้วยสัญลักษณ์ของวง (ทำยากเกิ๊น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ) รวมๆเวลาการแสดงเกือบ 2 ชั่วโมงซึ่งถือว่าเป็น 2 ชั่วโมงที่สนุกมากๆ

Meeting

หลังจากจบการ Show ส่วนต่อไปของงานคือการ Meeting ซึ่งพักประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งการ Meeting ก็คือการถ่ายรูปพร้อมกับคุยกับ Member แต่ละคนคนละ 1 นาที (สั้นเกิน) จนคนครบทุกคนนั่นเอง

น้องแพร

บอกเลยว่านี่คือการคุยกับน้องแพรครั้งแรกเลย เจอคำถามแรกไปก็ช็อกเลย “พี่ไม่เคยมาเชกิกับหนูเลยใช่มะ หนูจำได้เลย” เจอช็อตนี้ไปก็ ฮ่าๆๆๆๆ แต่การพูดแบบนี้ก็แสดงว่าน้องจำคนที่มาเชกิกับน้องได้แน่นอน ก็เลยคุยกับน้องไปว่าจริงๆก็อยากถ่ายแหละแต่พี่มีงบจำกัด น้องเขาก็บอกว่าแซวเล่นแหละน้องเข้าใจ จากนั้นก็คุยกับน้องว่า พึ่งรู้ว่าน้องเต้นเป็นด้วยปกติเห็นเล่นแต่เบส แถมเต้นน่ารักด้วย น้องก็บอกว่าขอบคุณค่า สุดท้ายก็บอกน้องว่าพี่รอฟังเพลง Unit ของน้องอยู่นะ มาคิดดูก็เสียดายนะถ้าได้เชกิกับน้องนี่คงได้เชกิต่อด้วยยาวๆแน่เลย เพราะน้องคุยเก่งมาก น่ารัก ฮา แถมดีดๆด้วย

น้องมุก

คนนี้เคยเชกิด้วยเมื่อนานมาแล้วก็คือตั้งแต่งานแรกเลย ก็คุยกับน้องว่าเนี่ยพัฒนาขึ้นมากเลยนะ พี่เคยดูเราเล่นตั้งแต่งานแรก เคยไปดูงาน Cosplay ที่มาบุญครองตอนแต่งตัวเป็นมารุโกะ แล้วก็เอารูปให้น้องตอนเชกิด้วยกันครั้งแรกให้น้องดูด้วย น้องก็บอกโอ้ตั้งแต่สมัยผมสั้นเลย ตอนงานที่มาบุญครองตอนนั้นไม่ได้ใส่แว่นด้วยเขินสุดๆเลย สุดท้ายก็บอกน้องว่า พี่รอติดตามผลงานต่อๆไปของน้องอยู่นะ

น้องบี

นี่ก็เป็นอีกคนที่เคยคุยครั้งแรก(ในวันสุดท้ายของวงอะนะ)ซึ่งก็รู้สึกเกร็งๆเหมือนกัน ก็เลยบอกน้องว่าพึ่งรู้ว่าน้อง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าน้องรึเปล่า แต่น่าจะน้องแหละ อายุตัวเองใกล้ 30 ขนาดนี้ไอดอลส่วนใหญ่ก็น่าจะน้องหมดแหละ) เต้นได้เพราะเห็นแต่ยืนเล่นคีย์บอร์ด น้องก็เลยบอกว่าจริงๆเคยเต้น cover ร่วมกับน้องแพรน้องปิ่นมาก่อนแต่พอมาอยู่วงที่เล่นดนตรีเลยไม่ค่อยได้เต้น ตลอดเวลาที่คุยกับน้องนี่รู้สึกว่าบรรยากาศมันดูสบายๆ จนมาเรื่องสุดท้ายก็เลยถามน้องว่าเมื่อไหร่เพลงใหม่จะออก น้องก็เลยบอกว่าปีหน้า ก็เลยบอกน้องไปว่าจะรอติดตามเพลงใหม่นะ

น้องข้าวเจ้า

มาถึงขวัญใจของเจ้าของ Blog ซึ่งก็คือน้องข้าวเจ้าซึ่งน้องจำเราได้ด้วย (ปกติเวลาตามไอดอลเนี่ยผมจะเป็นสายจืดจาง ไม่ค่อยมีใครจำได้ ) ซึ่งสาเหตุที่น้องจำเราได้นี่เป็นอะไรที่ประทับใจมาก คือช่วงโควิดตอนนั้นนี่งานไอดอลปิดหมด ประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ วงนี้ก็เลยขายเชกิแบบออนไลน์โดยให้ใส่ชื่อตัวเองกับเรื่องที่เครียดช่วงนี้ลงไป เอาเราก็ใส่ชื่อเล่นกับภาวะหมดไฟตอนทำงานลงไป พอได้เชกิที่สั่งนี่ตกใจมากเพราะน้องดันเขียนชื่อบนเชกิว่า “พี่ปุ๋ง” ซึ่งเป็นฉายาที่เพื่อนสมัยเรียนเรียกและเราก็ไม่ได้บอกอะไรน้องไป ตอนนั้นนี่งงจัดๆแบบเฮ้ยน้องรู้ได้ไง จนงานไอดอลกลับมาจัดได้ พอได้คุยกับน้องน้องเลยบอกว่าตอนได้ Order เชกิไปน้องอยากรู้ว่าเราคือใครเลยเข้าไปหาว่าเราคือใครจนเจอเลยเข้าไปหาข้อมูลผ่านรูป Profile กับ หน้าปก เลยรู้ว่าเราเป็นใคร เรียนอะไร เพื่อนๆเรียกว่าอะไร ซึ่งน้องน่าจะต้องพยายามระดับนึงเพราะ Profile ทุกอย่างของผมเป็น Private หมด (ถึงขนาดว่าไม่ได้ใส่ว่าเรียนอะไร ทำงานที่ไหน เกิดวันไหน ชื่อบน Facebook ก็สะกดไม่ตรงกับชื่อจริงด้วย) แสดงว่าน้องต้องไล่ดูรูปกับอ่าน comment ที่เพื่อนๆผมโพสต์ทั้งหมด แต่จริงๆน้องเขาก็เป็นขวัญใจผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกที่งาน Idol expo ละ เพราะตอนนั้นน้องคุยเป็นกันเองมาก ตอนนั้นน้องบอกว่าไม่เคยคิดว่าตัวเองจากคนธรรมดาจะกลายเป็นไอดอล มีคนมาดู มีคนยอมเสียเงินมาถ่ายรูปด้วย แถมยังเล่นชื่อมุกชื่อข้าวเจ้าข้าวเหนียวด้วย คุยสนุกมาก พอมาถึงงานวันนี้ก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกันเหมือนว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยละ ก็เลยเอารูปสมัยตอนที่เชกิด้วยกันครั้งแรกให้น้องดูแล้วบอกว่า เนี่ยครั้งแรกที่เจอกันเลยนะตั้งแต่สมัยยังผมดำเลย ฮ่าๆๆๆ แล้วน้องก็คุยเรื่องเพลงที่มาร้องในงานวันนี้ว่าทำไมถึงเลือกมาร้อง ซึ่งทำให้รู้ว่าน้องเป็นที่ทำอะไรแล้วมีความหมาย เหมือนชื่อแมวของน้องนี่แต่ละตัวมีความหมายมี Story แล้วก็ได้คุยเกี่ยวกับเพลงใหม่ของน้องซึ่งก็คือเพลง My moon ว่าเพราะมากๆเลยนะ สุดท้ายเวลาก็หมดลง

น้องแจม

น้องแจมก็เป็นอีกคนที่คุยด้วยครั้งแรก ซึ่งน้องคนนี้เรานี่ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ด้วยเพราะน้องตีกลองอยู่ข้างหลัง แล้วน้องไม่ค่อยพูดบนเวทีเท่าไหร่ แต่เห็นน้องสนุกกับตีกลองอยู่นะแบบ น้องจะตีมันไปไหน พอถ่ายรูปเสร็จปุ๊ปน้องนี่เปิดบทสนาอย่างพีคเลย “พี่ดูเหนื่อยๆนะคะ พักหายใจก่อนไหม หนูเห็นพี่หายใจแล้วเหนื่อยแทน หนูอยากเอาเวลาคุยไปให้พี่หายใจจริงๆ “ แบบเฮ้ยน้องนี่กันเองจริงโว้ย นานๆจะเห็นคนกันเองขนาดนี้ ซึ่งผมชอบคนที่เป็นกันเองแบบนี้ ก็เลยบอกว่าพี่หายใจไม่ทันเวลาใส่หน้ากาก แล้วก็คุยไปเรื่อย ถามว่าจะยังทำเพลงต่อไหม น้องก็บอกว่า ก็ทำนะยกเว้นช่วงสอบ ช่วงสอบนี่เหนื่อยมาก ก็เลยถามว่าอยาก skip ไปจบเลยไหม น้องก็บอกว่าอยากค่ะ พอเวลาใกล้หมดก็เลยบอกน้องว่า ไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาคุยกันใหม่ น้องตอบอย่างจริงใจว่า “ก็คงครั้งสุดท้ายแล้วแหละพี่” เราก็บอกว่าไม่คิดว่าจะมีโอกาสเลยเหรอ น้องก็ตอบว่า “พี่ พี่คิดดูนะ ประเทศไทยมีกี่ตารางกิโลเมตร เราจะบังเอิญเจอกันอีกเหรอพี่ โอกาสมันเท่าไหร่พี่” มาคิดดูก็เออจริงของน้องนะ เราก็เลยตอบว่า ถ้ามีโอกาสเราคงได้คุยกันอีกนะ

น้องปิ่น

มาถึงคนสุดท้าย ถือว่าเป็นคนที่ Hot Hit ที่สุดของวงนี้แล้วซึ่งนั่นก็คือน้องปิ่นนั่นเอง ซึ่งน้องก็น่ารักเหมือนวันแรกที่เคยได้คุย เลยเอารูปที่เคยถ่ายด้วยตอนงานวันแรกให้ดู น้องก็บอก โห ตั้งแต่งานแรกเลยเหรอ นี่ตั้งแต่หนูยังใส่เหล็กดัดฟันเลยนะ จากนั้นก็คุยกันไปเรื่อย ซึ่งก็จำไม่ค่อยได้แต่ก็บอกว่าน้องพัฒนาไปเยอะมากเลยนะ แล้วก็ถึงน้องจะไม่เป็นไอดอลแล้วแต่พี่ก็ติดตามผลงานน้องอยู่นะ พี่เห็นจะมีละครนี่ น้องก็บอกว่าใช่ แล้วเหมือนน้องจะรู้ว่าเวลาเราคุยไม่ชอบสบสายตาคนคุยด้วย น้องเลยบอกว่า ทำไมพี่ไม่สบสายตาหนูเลย แบบโอ้ยน้องปิ่น ก็เลยหันหน้าไปสบตากับน้องเขานิดนึง ซึ่งน้องน่ารักแบบ โอ้ย น่ารักสุดๆ เป็นผู้หญิงที่ตรงสเปคทุกอย่างเลยนะ ใส่แว่น ผมยาว ขาว น่ารัก หมวยหน่อยๆ ก็เลยบอกน้องว่า ฮ่าๆๆๆๆ พี่เป็นแบบนี้แหละ เวลาสบตาผู้หญิงน่ารักๆแล้วมันเขินน่ะ และแล้วเวลาก็หมดลง

อีกรอบ

หลังจากทุกคนในงานถ่ายรูปครบเขาก็ให้เราสามารถซื้อบัตรถ่ายรูปเพิ่มได้อีกรอบ ด้วยกำลังทรัพย์ที่มีก็เลยซื้อบัตรไปคุยกับน้องสองคน

น้องข้าวเจ้า

อันนี้คุยแน่นอนอยู่ละเพราะเป็นขวัญใจ ซึ่งก็นั่งคุยเรื่องความหมายของเพลงต่อว่าเพลงที่เหลือคือเพลงอะไร น้องเลือกเพราะอะไร ซึ่งถ้าจำไม่ผิดคือเพลง I like you ของนักร้องสักคนซึ่งผมน่าจะต้องไปไล่หาเปิดต้นฉบับกับความหมายของมัน ส่วนอีกเพลงคือ never enough ของใครสักคน ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าผมไม่สันทัดเพลงที่ไม่ใช่เพลงไทย จะฟังเพลงต่างประเทศก็เพลงพวกประกอบละคร หนัง การ์ตูน ถึงจะพอคุ้นหู ซึ่งก็มีเหตุผลว่า I like you แปลว่า หนูชอบแฟนคลับทุกคน ส่วน never enough เท่าไหร่ก็ไม่พอเหมือนความรักที่พวกเรามีให้กันประมาณนั้น สุดท้ายเวลาก็หมดลง ก็เลยบอกลาน้องว่า นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆแล้วนะ หวังว่าโอกาสหน้าเราจะได้คุยกันใหม่นะ น้องก็บอกว่าค่ะพี่เบล พี่ยังเป็น My Moon ของหนูนะ ตอนนั้นไม่ได้ตอบอะไรน้อง แต่จริงๆแล้วสำหรับพี่น้องก็คือ My Moon เหมือนกัน

น้องแจม

อันนี้ก็ตลกนะที่เลือกมาคุยกับน้องแจม ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกน้องแจม คงเป็นเพราะความเป็นกันเองของน้องเขามั้ง ซึ่งก็ได้คุยกันเพิ่มเติม เปิดบทสนทนาด้วยความพีคๆของน้องคือ “คุยกับหนูชิวๆเลยพี่” ฮ่าๆๆๆ ก็เลยบอกไปว่า “พี่ชิวตลอดอยู่แล้ว” แล้วก็คุยไปเรื่อย น้องถามว่าพี่ทำงานอะไร เราก็ตอบว่าพี่เป็นโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรม น้องก็บอกว่าเขียนโปรแกรมอะนะ หนูก็เคยเขียน แบบทำอะไรนะ แล้วน้องก็ทำหน้าเครียดแล้วน้องก็บอกว่า ช่างมันเถอะพี่ ฮ่าๆๆๆๆๆ แล้วก็ถามว่าพี่มาจากไหน ก็เลยบอกว่ามาจากสมุทรปราการ น้องก็บอกว่า แถวอิมพิเรียลสำโรงใช่ไหมหนูเคยไปแข่งร้องเพลงกับเพื่อน เราก็ตอบไปว่าไกลกว่านั้นอีกนะ แล้วก็คุยเรื่องเพลง My Moon ของน้องเขา ซึ่งเราก็บอกว่าเราแต่งเพลงเพราะดีนะ น้องเขาก็ยกมือกราบขอบคุณ สุดท้ายพอเวลาหมด ซึ่งมันนิดเดียวเองยังคุยไม่เสร็จเลย ก็เลยบอกน้องเขาว่า ไว้โอกาสหน้าเราค่อยคุยกันใหม่ พี่เชื่อว่าถ้าเรายังทำเพลงอยู่พี่ว่าเราคงจะได้มีโอกาสเจอกัน

จบงาน

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา คำพูดนี้ยังคงจริงเสมอ ตอนนั้นเวลาประมาณ 23.35 น. Member ก็อำลาเหล่าแฟนคลับเดินจากพวกเราไป เราแฟนคลับก็ทำได้เพียงโบกมือลาพร้อมนึกในใจว่า ถ้ามีโอกาสเราคงได้มานั่งเพลงในรูปแบบวงแบบนี้อีกนะ มาคิดเล่นๆ ถ้าค่ายนี้ยังไปต่อ มีผลงาน ไปได้เรื่อยๆ พอครบ 5 - 10 ปีเขาจัด Reunion วง Melt mallow ขึ้นมา เราก็คงไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินไปดูอะนะ แต่มาคิดๆตอนนั้นเราน่าจะอายุเกือบ 40 แล้ว น้องๆก็อายุ 30 - 35 กันแล้ว เขาจะกลับมาไหมนะ ช่างเถอะมันเป็นเรื่องของอนาคต แต่พอพูดถึงอนาคตก็ย่อมนึกถึงอดีต มาคิดๆดูก็เสียดายนะ มีอีกหลายงานที่เราไม่ได้ไปดูน้องๆแสดง ไม่ได้เชกิกับน้องบางคน เลยไม่รู้ว่าจริงๆแล้วน้องๆคุยสนุกแค่ไหน ไม่ว่าจะน้องแจม น้องบี น้องแพร เสียดายจริงๆ จนนึกถึงคำพูดเพื่อนคนนึงที่พูดว่า “ช่วงเวลาของไอดอลมันสั้นอยากทำอะไรก็รีบๆ ทำก่อนที่จะไม่มีโอกาส” ขึ้นมา อือ มันสั้นจริงๆนั่นแหละปีกว่าๆเอง เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าหาเงินเยอะๆจะได้มีเงินไปถ่ายเชกิกับไอดอล (ถ้าย้ายงานไปที่เดียวกับเพื่อนแล้วเงินเดือนใกล้ๆมัน ตอนนี้คงได้สนับสนุนวงเยอะกว่านี้แล้วอะนะ)

ตื่นจากฝัน

งานจบก็เหมือนตื่นจากความฝัน เราต้องไปเข้าวังวนชีวิตเดิมๆงานน่าเบื่อๆ คุยกับคนน่าเบื่อๆ ทำงานในสิ่งที่ไม่รู้ว่าเราชอบหรือเปล่า ผมอาจชอบเขียนโปรแกรมแต่พอมาเป็นงานความชอบเมื่อตอนที่เขียนครั้งแรกมันหายไปแล้ว จริงๆก็มีอย่างอื่นที่ ชอบแต่ทำแล้วไม่ได้เรื่องเลยเลิกทำไป กลบไปใช้ชีวิตเป็น Loop ต่อไป ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มีความสุขไหม ไม่รู้ว่าทุกข์ไหม ทุกวันเหมือนเดิม ทุกวันยังตามหาความหมายของชีวิต ตามหาสิ่งที่อยากทำอยากเป็นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด แต่อย่างน้อยถ้าวันไหนเหงา เศร้า หรือท้อใจ ก็ยังมีความทรงจำดีๆ เพลงเพราะๆ ของวงนี้ลดความรู้สึกแย่ๆลงไปได้ สุดท้ายก็มีนึกถึงคำพูดน้องๆที่พูดไว้ว่า “ถ้าคิดถึงวงนี้ก็ขอให้เปิดเพลงของพวกเราฟังนะ”