Violet Evergarden

Violet Evergarden

ขอพูดตามตรงเลยว่าไม่เคยได้ยินชื่อเรื่องนี้เลย แบบ Blank มากๆ มารู้ก็ตอนวันที่ 27 ก.พ. ว่า Major จัดโปรโมชั่นดูหนังราคา 28 บาทในวันที่ 28 ก.พ. ก็เลยไปหา List หนังที่จะดูซึ่งก็เจอเรื่องนี้ แต่เป็นชื่อภาษาไทยว่า จดหมายฉบับสุดท้าย… แด่เธอผู้เป็นที่รัก ดูเวลาก็โอเคน่าจะทำธุระเสร็จแล้วไปดูทัน

ตัวอย่าง

เปิดเรื่องมาชวนให้ติดตาม

เปิดเรื่องมาหนัง ( ขอเรียกว่าหนังละกัน ) เล่าถึงการตายของคุณยายคนนึงซึ่งทำให้เกิดปมความขัดแย้งระหว่างระหว่างแม่กับลูกสาวที่ตัวลูกสาวบอกว่าแม่ไม่ให้ความสำคัญกับยายเท่าที่ควร ( ซึ่งประเด็นนี้จะแผ่ขยายไปทั้งเรื่องและพามาจบได้อย่างสวยงาม ) จากนั้นตัวลูกสาวได้พบกับกล่องเก็บจดหมายของยายตัวเองซึ่งพบว่าเป็นจดหมายของยายทวด (แม่ของยาย) ซึ่งส่งมาให้หลังตาย โดยคนส่งคือ ดอล ซึ่งก็คือคนเขียนจดหมาย ซึ่งคนเขียนจดหมายคนนี้ได้ส่งจดหมายที่ ยายทวดฝากให้ส่งให้มาตลอด 50 ปี (ยอมใจการรับผิดชอบในการงานของตัวเองจริงๆ) พอได้ดูถึงตรงนี้เราก็เริ่มสงสัยถึงการมีตัวตนของคนคนนี้ขึ้นมาและเหมือนหนังรู้ใจเราก็เริ่มเล่าเรื่องของ ดอล คนนี้ให้เราฟัง

ต่อจากนี้อาจจะสปอยเนื้อหา ดังนั้นถ้าอยากดูก่อนไม่ควรอ่าน

การมาของเทคโนโลยี

เรื่องนี้พูดถึงการมาของเทคโนโลยีใหม่ซึ่งก็คือโทรศัพท์ ซึ่งถ้ามีโทรศัพท์เกิดขึ้นมาอย่างแพร่หลายและใช้ได้ในระดับคนธรรมดาทั่วไป จดหมายจะค่อยๆถูกแทนที่และสุดท้ายจะเหลือน้อยมากๆ การมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ย่อมทำให้อาชีพเก่าๆถูกแทนที่และตายไป คนย่อมรู้สึกไม่มั่นคงและต่อต้าน นั่นเป็นสิ่งที่หนังเสนอให้เห็นผ่านคุณลุงที่จุดทำหน้าที่จุดคบเพลิงที่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยระบบไฟฟ้า ตัวหนังเหมือนชี้นำให้เราคิดแบบนั้น แต่ตอนสุดท้ายหนังทำให้เราเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่นั้นมีประโยชน์มากมายเพียงใด มันทำให้สิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีเก่านั้นสามารถทำได้ แต่ก็เช่นกันหนังก็ทำให้เราเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ก็ไม่สามารถแทนที่บางเรื่องของเทคโนโลยีเก่าได้ จดหมายก็มีความเป็นจดหมาย มันมีข้อดีบางอย่างที่โทรศัพท์แทนที่ไม่ได้

ปัญหาของการสื่อสาร

การสื่อสารอาจเป็นใจความสำคัญหลักของเรื่องนี้ การสื่อสารมีหลายแบบทั้งที่เจอกันต่อหน้าและไม่ต่อหน้า โต้ตอบกันได้หรือโต้ตอบกันไม่ได้ ทุกการสื่อสารมีความเฉพาะ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน (เรื่องนี้ทำให้เราเห็นชัดมาก ชัดแบบ เอ้อเราไม่เคยมองจุดนี้กันเลย) หลายครั้งที่ความคิดของเรานั้นคิดแบบนึง แต่การสื่อสารออกไปนั้นเป็นแบบนึง มันเป็นเรื่องประหลาดแล้วเรื่องประหลาดเหล่านี้นั้นผูกปมให้กับมนุษย์มามากมาย คำพูดบางคำ การแสดงออกบางเรื่องส่งผลลากยาวเป็น 10 20 ปี หรือเลวร้ายถึงทั้งชีวิตคนหนึ่งคน ทั้งๆที่ต่างคนต่างก็อยากทำเพื่ออีกฝ่ายแท้ๆ เรื่องนี้ทำให้เห็นปมพวกนี้ชัดมาก ชัดจนแบบนี่มันคือเรื่องจริงที่เราเจอกัน

แต่ปัญหาที่เกิดจากการสื่อสารนั้นก็ถูกแก้ไขได้ด้วยการสื่อสาร เพียงแค่คนคนนั้นเลือกใช้การสื่อสารด้วยวิธีใด บางปัญหาที่สั่งสมกันมานับ 10 20 ปี สามารถจบได้ด้วยการคุยกันอย่างเปิดใจ พูดด้วยใจจริง บอกความรู้สึกที่ตนคิดออกมาอย่างแท้จริง ซึ่งในเรื่องมีฉากที่ตัวละครหนึ่งบอกอย่างจริงใจกับอีกตัวละครหนึ่งถึงสิ่งที่เขาอยากจะทำเพื่ออีกตัวละครหนึ่ง

แต่ในบางครั้งการคุยกันแบบโต้ตอบได้นั้นมันยากเกินจะทำได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีกำแพงกั้นอยู่เมื่อต้องโต้ตอบกัน การใช้จดหมาย เขียนอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจให้อีกฝ่ายเข้าใจ การเขียนหรือพิมพ์นั้นไม่มีกำแพงหรือความกังวลใดมาปิดกั้นในช่วงเวลานั้น สิ่งที่อยู่ในใจทั้งหมดได้ระบายออกมาลงบนจดหมายเพื่อให้อีกฝ่ายทราบ (ติดอยู่อย่างเดียวกล้าส่งหรือเปล่า) หากฝ่ายที่ได้อ่านเข้าใจความคิดความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้ว กำแพงนั้นก็คงจะทลายลงทำให้สองฝ่ายกลับมาคุยโต้ตอบความในใจได้อย่างไม่มีอะไรมาขัดขวาง ในหนังได้แสดงให้เราเห็นตรงจุดนี้ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ทั้งเรื่องนั้นแม้ทั้งสองจะได้โต้ตอบกันแต่ปมก็ยังไม่ถูกแก้ แต่เพียงจดหมายฉบับเดียว เป็นการสื่อสารทางเดียวกลับทำให้ทั้งสองสามารถกลับมาคุยกันได้อย่างเปิดใจอีกครั้ง

วรรคทองของเรื่อง

หนัง ละคร การ์ตูน นิยาย มักจะมีวรรคทองของเรื่องนั้นๆ ซึ่งจะกินใจเราจนไม่อาจลืมเลือน อย่างเรื่อง Eureka 7 ผมเคยดูตอน ป.4 มีตอนนึงที่ตัวละครในเรื่องนั้นพูดว่า อย่าอ้อนขอ จงไขว่คว้า ไม่งั้นจะไม่มีทางสำเร็จ ทุกวันนี้ผมยังจำได้แล้วก็เอามาเป็นเครื่องเตือนใจเสมอเวลาทำงาน เช่นกัน เรื่องนี้ก็มีหลายวรรคทองที่กินใจ เช่น พวกเรานี่ไม่ซื่อตรงกับจิตใจของเราเลยนะ อันนี้อาจจะไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ถ้าได้ดูฉากที่ตัวละครคนนั้นพูด คุณจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเขาตอนพูดออกมา มันกินใจจนกลายเป็นวรรคทองเลย หรือ จะเป็น ขอบคุณคุณที่สอนให้ฉันเข้าใจความรัก และฉันขอมอบความรักนั้นให้แก่คุณ อันนี้แบบโคตรกินใจ แบบไม่เคยคิดว่าคำพูดธรรมดาแบบนี้จะกินใจได้ขนาดนี้ มันเรียบง่าย ส่วนวรรคทองสุดท้ายคือคำว่า ขอบคุณค่ะ คำง่ายๆคำนี้แต่ถ้าได้ดูเรื่องนี้มันช่างกินใจเสียเหลือเกิน

ภาพสวยมาก

เรื่องนี้ภาพสวยงามมาก มันมีความเป็น Anime แบบที่เราดูกันตอนเด็ก ไม่แบบ 3D ให้เห็นแบบขัดอารมณ์ ความสวยของสี การเคลื่อนไหว งดงามราวกับภาพในนิยาย เสื้อผ้า การแต่งตัว องค์ประกอบในเรื่องนี้นี่จัดเต็ม ไม่ใช่งานลวกแน่นอน ภาพมี 10 ผมให้ 10 เลยเรื่องนี้

เสียง

ผมชอบเสียงประกอบเรื่องนี้มาก เสียงเดินของตัวเองนี่แบบ ให้อารมณ์เสียงคนเดินจริงๆ เสียดายที่ OST นั้นยังไม่ดึงดูดเท่า Firework คือเรื่อง Firework นี่ OST ฟังแล้วหยุดไม่ได้ต้องฟังแล้วฟังอีกวนไปเรื่อยๆ

ข้อเสีย

เข้าใจว่าเรื่องนี้คงเป็นนิยายหรือ Anime ยาวมาก่อน พอมาทำเป็นหนังเลยต้องตัดมาให้กระชับ ดังนั้นตัวละครบางตัวที่โผล่มาในเรื่องนั้นจะโผล่มาแบบ เอ้า ใครวะ โผล่มาทำไม โผล่มาแล้วก็หายไป ตัวละครบางตัวที่มีบทก็ขาดการเล่าถึงความเป็นมาจนเราแทบจะไม่สนใจมันเลย (มีอยู่ 3 ตัวที่มีบทบาทแต่ไม่ได้น่าสนใจ ) ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่ได้โอกาสรู้เกี่ยวตัวละครเหล่านี้ (จริงๆจงใจเพื่อให้เราไปหานิยายหรือ Anime มาดูก็ได้) เช่นกัน ปูมหลังของตัวเอกในเรื่องนั้นไม่ได้พูดถึงเราก็อาจจะงงๆว่า เอ้า ทำไมต้องทำแบบนี้กับคนนี้เพราะอะไร ทำไมถึงมองว่าตัวนี้เป็นแค่สิ่งของ เรื่องนี้ไม่มีการบอกว่าทำไมซึ่งเราก็งง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดไม่รู้เรื่องนะ มันรู้เรื่องแต่แค่สงสัยว่าทำไม

สรุป

โดยส่วนตัวผมชอบเรื่องนี้มากๆเพราะการใส่ประเด็นเรื่องการสื่อสารเข้าไปในเรื่องทำให้เราอินและเข้าใจได้กับเรื่องที่เกิด รู้สึกเข้าใจตัวละครและนั่นทำให้เราทุกข์ไปกับตัวละครเช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นผลดีเพราะเมื่อปมทุกปมถูกแก้ออกเราจะรู้สึกยินดีกับตัวละครไปด้วย เรื่องนี้ผมมีเสียน้ำตาให้ในหลายๆตอน มันไม่ได้ซ้ำแบบจะเป็นจะตายแบบที่ละครเกาหลีสมัยก่อนเป็น แต่อันนี้คือเศร้าด้วยความดีใจปนเสียใจผสมๆกัน แบบมันทุกข์นะแต่ก็สุขในเวลาเดียวกัน (เป็นอารมณ์ที่โคตรแปลก) สำหรับเรื่องนี้ควรค่าแก่การเสียเวลาดูโดยประการทั้งปวง