ปัญญางาน - MANAGING ONESELF

ปัญญางาน - MANAGING ONESELF

ปัญญางาน - MANAGING ONESELF

จำได้ว่าหนังสือเล่มนี้ตอนซื้อมันถูกห่อด้วยพลาสติกไว้ทำให้อ่านคร่าวๆว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่เห็นว่าพิมพ์มาแล้ว 11 ครั้ง เนื้อหาน่าจะเกี่ยวกับการบริหารจัดการชีวิตตัเอง ก็เลยลองซื้อมาอ่านดู ซึ่งพอแกะออกมาอ่านก็เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงต้องห่อ เพราะมันสามารถอ่านจบได้ภายในระยะสั้นๆ (ถ้าอ่านเร่งๆหน่อยผมว่าผมอ่านจบภายใน 1 ชั่วโมง)

คำถาม

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือที่อ่านเล่าเรื่องของผู้บริหาร บอกเป็น Case study แต่เป็นการตั้งคำถาม เช่น งานแบบไหนที่เราถนัด , คุณชอบตัดสินใจหรือชอบให้เขาปรึกษา โดยความง่ายของคำถามคือมันเป็นคำถามปลายปิดมีตัวเลือกแค่ 2 ข้อ จากนั้นตัวคนเขียนก็เล่าว่าต้องเป็นแบบไหน ชอบแบบไหน หรือรู้สึกแบบไหน ถึงจะตรงกับตัวเลือกที่ 1 เป็นแบบไหน ถึงจะเป็นตัวเลือก 2

ผู้ให้คำปรึกษา หรือ ผู้ตัดสินใจ

สำหรับผมคำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจและเหมือนคำถามนี้จะช่วยผมตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่อยากจะเป็น หนังสืออธิบายเกี่ยวกับการเป็นผู้ให้คำปรึกษาว่าคือคนที่สามารถทำสิ่งที่ช่วยตัดสินใจ เป็นคนที่พยายามหาว่าตัวเลือกแต่ละตัวนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไร สนุกกับการหาตัวเลือกเหล่านั้น แต่คนที่เป็นที่ปรึกษานั้นจะไม่ชอบการตัดสินใจ แตกต่างจากผู้ตัดสินใจนั้นชอบที่จะดูตัวเลือกประเมินตัวเลือกที่มีเหล่านั้นควรจะเลือกตัวไหน และกล้าที่จะตัดสินใจ จุดนี้จะเห็นความแตกต่างเล็กๆคือ ทั้งผู้ให้คำปรึกษาและผู้ตัดสินใจนั้นเก่งพอๆกัน แต่มีแค่ความชอบบางอย่างไม่เหมือนกัน ผู้ให้คำปรึกษานั้นชอบหาตัวเลือก คิดค้นตัวเลือก แต่ไม่กล้าตัดสินใจ แต่ผู้ตัดสินใจชอบเลือกตัวเลือกที่คิดมาแล้วแล้วทำการตัดสินใจ ซึ่งความแตกต่างเล็กน้อยนี่โคตรมีผลอย่างมาก ในหนังสืออธิบายว่าทำไมบริษัทบางบริษัทถึงมีปัญหาเมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญในบริษัท จะเห็นว่าจะมีปัญหาเหล่านี้ตอน เปลี่ยน มือ 1 ไปทำอย่างอื่น แล้วเอามือ 2 ขึ้นมาแทนมือ 1 ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มือ 2 นั้นด้อยกว่ามือ 1 แต่ประเด็นคือ มือ 2 นั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา คนเหล่านี้สนุกกับการหาตัวเลือก แต่เขาไม่กล้าตัดสินใจ เมื่อใดที่เอาคนที่ไม่กล้าตัดสินใจขึ้นมาทำงานก็ย่อมทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การตัดสินใจที่ควรจะไวนั้นอาจจะช้าเพราะความเครียดที่ต้องเลือก การเลือกบางครั้งอาจมีความเสี่ยงมากจนไม่กล้าตัดสินใจไปใช้วิธีที่ดูปลอดภัยกว่าแทนที่วิธีที่ดีกว่าแต่ความเสี่ยงมากกว่าเล็กน้อย

ทำงานได้ดีใน องค์กรขนาดใหญ่ หรือ องค์กรขนาดเล็ก

ความแตกต่างของสองตัวเลือกนี้ไม่ใช่จำนวนเงินแต่เป็นรูปแบบการทำงาน ในการทำงานบริษัทใหญ่ๆนั้นจะมีการแบ่งแผนกออกมาอย่างชัดเจนการจะทำอะไรนั้นต้องติดต่อระหว่างแผนกเยอะ ขั้นตอนอาจจะยุ่งยาก แต่ข้อดีของมันคืองานจะแบ่งแยกได้ชัดเจน และงานต่างๆจะสามารถทำนายได้ไม่ยาก แต่หากเป็นบริษัทเล็กๆนั้นแผนกจะไม่ได้ถูกแยกอย่างชัดเจน การทำงานอาจจะต้องทำหลายอย่าง แต่ข้อดีของมันคือทำได้อย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องผ่านหลายแผนก หรือสามารถคุยแต่กับแต่ละแผนกได้ง่าย แต่ละรูปแบบมีข้อดีข้อเสีย คำถามคือคุณทำงานได้ดีกับองค์กรแบบไหน บางคนชอบทำงานในองค์กรเล็กๆไม่ต้องสื่อสารเยอะ สื่อสารเฉพาะที่จำเป็น ส่วนใดไม่มีคนทำสามารถเอาส่วนนั้นมาทำได้แบบไม่ต้องรอคนอื่นตัดสินใจ แต่บางคนชอบทำงานเฉพาะส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ มีขอบเขตงานที่แน่นอน ดังนั้นก็ควรถามตัวเองว่า ชอบงานในลักษณะแบบไหน

หาที่ทางของตัวเอง

ในหลายๆคำถามที่ถามไปนำพามาถึงสิ่งที่หนังสือพยายามบอกเรื่องนึงคือ “หาที่ทางของตัวเอง” เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ชอบงานแบบใด ก็ควรพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองชอบ เช่น อย่างผมชอบเป็นที่ปรึกษาไม่ชอบการตัดสินใจ ผมก็พาตัวเองไปอยู่ในส่วนงาน Techniacl และ Specialist แม้หลายครั้งหัวหน้าจะพยายามให้ผมไปอยู่ในตำแหน่งเช่น หัวหน้าทีม ผมก็พยายามบอกเสมอว่า ผมไม่ถนัดงานด้านนี้ ให้ทำได้ แต่ถ้ามันออกมาไม่ดีผมขอกลับมาอยู่ตำแหน่งนี้ ซึ่งจากการทดลองได้คุมคนก็พบว่า เออ เราไม่ถนัด ทำแล้วไม่มีความสุข มันวิตกกังวล มันจะดีหรือไม่ดีวะที่ตัดสินใจแบบนั้น ถึงแม้ทางที่เราคิดมาแล้วจะดีที่สุดก็เถอะ

สรุป

สำหรับผมหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง ทำให้เราเห็น pattern ง่ายๆบางอย่างที่เรามองข้ามไป ผมชอบหนังสือเล่มนี้ตรงเขาไม่ได้บอกว่างานไหนดีไม่ดี แย่ไม่แย่ แต่ให้เราเลือกที่เหมาะสมกับเรา ถูกใจเรา ซึ่งถ้ามันเหมาะสมกับเรา ถูกใจเรา งานที่ออกมาก็ย่อมดี ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่เรามองข้ามไป เพราะเรามุ่งแต่จะหาของที่ดี ใครจะใช้วิธีไหนดีก็ทำตามจนลืมไปว่า เรากับเขานั้นไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะลักษณะนิสัย ความชอบ ในหนังสือยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อาชีพที่สอง นักฟัง กับ นักอ่าน ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ

เพลงประกอบการเขียน Blog

โรคแอบชอบเพลงที่ตรงกับตัวผม เพราะมักจะแอบชอบผู้หญิงที่มีโอกาสได้เจอกันไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตอน ประถม มัธยม ม.ปลาย คนที่ทำงาน หรือคนที่เจอกันบน BTS เป็นประจำ แต่สุดท้ายมันก็ทำได้แค่แอบชอบ