Designing Your Life - คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking

Designing Your Life - คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking

Designing Your Life - คู่มือออกแบบชีวิตด้วย Design Thinking

ออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้อยากอ่านหนังสือเล่มนี้เลยที่ซื้อเพราะอยากได้ค่าส่งฟรีก็เลยต้องซื้อหนังสือให้ถึงยอด เห็นเล่มนี้ขึ้นมาเป็นหนังสือแนะนำ ดูสำนักพิมพ์แล้วก็โอเคเคยอ่านหนังสือของสำนักพิมพ์นี้หลายรอบอยู่ก็เลยซื้อมาเลยละกัน ตอนแรกกะไว้ว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องมาแนวพัฒนาตนเองแบบ ผมทำมาแล้วสำเร็จบลาๆ หรือมีวิธีการแบบเวอร์วังอ่านแล้วว้าวแต่น่าจะประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ยาก แต่พอได้เริ่มอ่านแล้วสนุกจนวางไม่ลงเลยทีเดียว

ปัญหาทั่วไปที่คนมักเจอ

ส่วนตัวประทับใจการเล่าเรื่องของหนังสือเล่มนี้มากคือ เขาไม่ได้โผล่มาแบบขายของแบบทำตามเลยชีวิตดีขึ้นแน่นอน แต่เขาเริ่มโดยการยกกรณีศึกษาให้เราเห็น ซึ่งเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักเจอซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาของผมคือมันรู้สึกว่างเปล่ามาก ที่เราทำมาทั้งหมดเพื่ออะไร ทำอะไรก็รู้สึกไม่มีความหมาย ไม่อิ่มเอมใจ ไม่สุขใจ เกิดคำถามมากมายว่า มันเป็นเพราะที่งานที่ทำอยู่ไหมที่ไม่ดี หรือเป็นเพราะตัวเราเอง คำถามมันมากมายและก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้ด้วย

เริ่มที่ตัวเอง

คำพูดดีดูจะเอียนๆเพราะหนังสือหลายๆเล่มพูดเหมือนกันให้เริ่มที่ตัวเอง แต่หนังสือเล่มนี้พูดได้ดีเกี่ยวกับการเริ่มที่ตัวเอง เริ่มที่ตัวเองคือคุณต้องรู้ก่อนว่าตัวเองตอนนี้เป็นยังไง ในหนังสือบอกให้วัด 4 อย่างคือ

  1. สุขภาพ : สุขภาพร่างกายเป็นยังไง

  2. งาน : งานในที่นี้คือสิ่งที่ทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่อยากได้เป็นยังไง มีทำไหม หนักไปหรือเปล่า หรือไม่มีเลย

  3. กิจกรรมสร้างสุข : คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดความสุขโดยไม่ต้องเครียด เช่น เล่นเกม อ่านหนังสือ ดูหนัง

  4. ความรัก : ความรักในนิยามของคุณเองเลย อาจจะเป็นความรักฉันท์ชู้สาว ความรักที่ให้กับเพื่อนมนุษย์

หนังสือเล่มนี้บอกให้คุณวัดมันออกมาจากนั้นก็อยู่ที่คุณเลยว่าจะปรับเปลี่ยนยังไงให้เหมาะสมกับคุณ การบอกแบบนี้นี่เห็นได้ยากจากหนังสือแบบนี้แต่มันคือสิ่งที่ถูกต้องเพราะแต่ละคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณจะปรับเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ใจคุณ

อะไรกันที่ทำให้เรามีความสุขและทุกข์ตอนทำงาน

คำถามนี้บางคนก็ตอบได้บางคนก็ตอบไม่ได้ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของหนังสือเล่มนี้ก็ง่ายๆครับ จดบันทึกเอาครับว่าใน 1 วัน มีกิจกรรมอะไรที่เราทำบ้าง กิจกรรมไหนทำให้เราทุกข์ ทำให้เราสุข ซึ่งเมื่อเราเห็นแล้ววิธีจัดการง่ายๆกับเรื่องนี้คือ พยายามเพิ่มส่วนที่เกิดสุข กับ ลดส่วนที่เกิดทุกข์ เช่น ไปคุยกับหัวหน้างานว่างานแบบไหนที่เราอยากทำ หรือตำแหน่งไหนที่ทำให้ได้ทำงานแบบนั้น หรือถ้าไม่มีจริงๆ อาชีพไหนที่ทำให้เราได้ทำงานแบบนั้น จริงๆผมก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกันคือมันทุกข์ทรมานมากตอนเขียน Frontend แต่สนุกมากตอนเขียน Backend ดังนั้นตอนคุยกับหัวหน้าก็เลยขอหัวหน้าไปว่า ผมถนัด Backend นะ อยากจะทำด้านนี้โดยเฉพาะไม่อยากทำ Frontend ทำอะทำได้แต่อาจจะช้าไม่สวย จะให้ทำก็ได้ หลังจากนั้นเหมือนหัวหน้าจะลดงาน Frontend ลง ให้ Backend จนตอนนี้แทบจะไม่ได้แตะแล้ว ซึ่งเหตุผลคงจะมาจากหลายๆเหตุผล เช่น ให้คนไม่ถนัดทำงานออกมาไม่ดี สุดท้ายทำมากๆก็เครียดแล้วก็ลาออก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นก็เลยปรับเปลี่ยนงานให้ แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะยอมแบบนี้นะครับ ผมแค่โชคดีอยู่บริษัทที่คุยกันได้

แต่ละคนตีค่าคนละอย่าง

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้คือเขาสอนให้เรานิยามสิ่งที่เราต้องการขึ้นมาเองเช่น งานในนิยามของคุณคืออะไร (ไม่ใช่ทำอะไร) งานที่มีความหมาย อะไรที่คุณให้ค่ากับงาน ผลตอบแทน ประสบการณ์ หรืออะไรที่จะเป็นตัวบอกว่านี่คืองานที่คุณอยากทำ เช่น ชีวิตคืออะไร ความหมายของชีวิตคุณ อะไรที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย ความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือเปล่า ความรักคืออะไร ความดีความชั่วคีออะไร โดยถ้าเรานิยามสิ่งพวกนี้ออกมาได้แล้ว เราก็สามารถเอามันมาเทียบกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ว่าเฮ้ย มันตรงกับที่นิยามหรือเปล่า ซึ่งถ้ามันไม่ตรงเนี่ยแสดงว่าคุณคงกำลังจะไม่มีความสุขในระดับหนึ่ง เช่น ถ้างานของที่ผมต้องการคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับผู้ใช้ แต่งานในปัจจุบันคือการทำอะไรเดิมซ้ำๆ แน่นอนทั้งสองสิ่งมันขัดกัน ผมย่อมรู้สึกไม่ค่อยสุข หรือ ถ้าสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมดูมีคุณค่าคือการให้ความรู้คนอื่นแบบเข้าถึงได้ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ผมทำงานเป็นคนเปิดคอร์สสอนอบรมด้วยเงินหลายแสน ผมก็คงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เช่นกัน

ลองออกแบบชีวิตหลายๆทาง

หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เราลองออกแบบชีวิตดูว่าเราจะเป็นอะไรได้บ้าง สร้างมาหลายๆทาง แต่ไม่ได้สร้างเปล่าๆนะเพราะทุกครั้งที่สร้างทางขึ้นมาจะทำการใส่คำถามไปในแผนชีวิตนั้นด้วยเช่น มันเลี้ยงชีวิตได้ไหม สนุกจริงหรือเปล่า ต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งด้วยวิธีการนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดขึ้นแต่ก็ไม่เพ้อฝันจนเกินไปเพราะมันได้มีคำถามและเราต้องไปหาข้อมูลด้วยว่าการจะมีชีวิตแบบนั้นเราต้องทำอะไร ต้องเจอกับอะไร ตอนนี้เราพร้อมมากแค่ไหนที่จะไปมีชีวิตแบบนั้น

ปรับมุมมอง

จุดหนึ่งที่ผมชอบหนังสือเล่มนี้คือการปรับมุมมอง ซึ่งมันเป็นการปรับที่ไม่ได้รุนแรงอะไรมาก แบบให้เปลี่ยนศาสนา มันแค่การเปลี่ยนความเชื่อ เช่น เราต้องหาหนทางที่ใช่หนทางเดียว แต่เป็น เราต้องการแนวคิดหลายๆทาง จะได้ลองสำรวจว่าเราเป็นอะไรได้บ้าง

สรุป

จริงๆมีอีกหลายส่วนที่ไม่ได้พูดถึงในหนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นอีกหลายส่วนที่ดีมากๆ แถมสไตล์การเขียนยังสนุกอ่านแล้วไม่น่าเบื่อ มีอะไรให้องทำตลอด สำหรับหนังสือเล่มนี้กับราคาเกือบ 300 บาทนั้นผมถือว่าคุ้มมากที่จะซื้อมาลองอ่าน ลองทำตาม ซึ่งวิธีที่ให้ลองทำตามนั้นไม่ได้เสียเงินเลย สุดท้าย

ชีวิตลิขิตเอง

อย่าอ้อนขอ จงไขว่คว้าไม่งั้นไม่มีทางสำเร็จ

เพลงประกอบการเขียน Blog

ถือว่าเป็นเพลงที่เหมาะกับตอนนี้เสียเหลือเกิน ชีวิตเราเราลิขิตเองครับ อย่าให้ฟ้า ดิน พรหม เทพองค์ใด หรือ พระเจ้า มาลิขิตครับ ณ จุดสุดท้ายของเราเราจะได้พูดอย่างเต็มปากว่าชีวิตนี้เป็นของเราอย่างแท้จริง