โลกที่เต็มไปด้วยปิศาจ - The Demon-Haunted World

โลกที่เต็มไปด้วยปิศาจ

โลกที่เต็มไปด้วยปิศาจ - The Demon-Haunted World

หนังสือเล่มนี้ซื้อมาอ่านเพราะ Page : Tactschool แนะนำว่าเป็นหนังสือที่ไม่เกี่ยวกับการลงทุนที่น่าอ่าน ก็เลยซื้อมาอ่านดูว่ามันจะดีจริงหรือเปล่า ซึ่งพอได้อ่านแล้วรู้สึกชอบมากๆ ประมาณว่าอยากให้เพื่อนๆหรือคนในครอบครัวอ่านมาก เพราะมันเป็นการเปิดหูเปิดตา ทำลายความงมงาย เข้าใจวิทยาศาสตร์ทั้งด้านดีและไม่ดีของมัน

ปิศาจ

ชื่อหนังสือคือ โลกที่เต็มไปด้วยปิศาจ ซึ่งครั้งแรกที่เห็นก็นึกว่าเป็นหนังสือนิยายอะไรสักอย่าง (แถมเล่มหนาโคตรๆ หนาแบบตีหัวแตกอะ) พอได้อ่านก็เข้าใจว่าทำไมถึงใช้ชื่อนี้ เพราะปิศาจคือความบ้าบอต่างๆบนโลก ไม่ว่าจะความเชื่องมงายของลัทธิแม่มด มนุษย์ต่างดาว การโฆษณาเกินจริง ความบ้าบอของยุคล่าแม่มด คนทรงสื่อสารกับคนตาย ทฤษฎีสมคบคิดที่หาความจริงไม่ได้ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเราพบเห็นกันได้ทุกวัน ปิศาจเหล่านี้มีเต็มไปหมด แล้วเราจะเอาชนะปิศาจเหล่านั้นได้อย่างไรล่ะ คำตอบก็มีอยู่แล้วครับนั่นคือ วิทยาศาสตร์ ครับ

วิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องยาก

ทุกวิชาบนโลกมีความยากความง่าย แต่วิชาจำพวกคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์กลับกลายเป็นตัวร้ายในเรื่องการเรียน เป็นเรื่องยาก เด็กๆพากันเกลียด ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นในวิชาฟิสิกส์ เคมี จริงๆมันอาจจะเพราะวิธีการสอนที่ไม่ใช่การสอนให้เข้าใจ แต่เป็นการสอนให้ทำโจทย์ แก้สมการ พอคนเรียนไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร ความสนใจมันก็ลดน้อยลง จนสุดท้ายก็กลายเป็นเกลียด แต่ผมยังจำความสนุกในการเรียนวิทยาศาสตร์ตอน ม.ต้น การทดลอง ใส่ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ตัวแปรควบคุม ทดลอง พิสูจน์ว่ามันเป็นแบบที่คิดไหม การทดลองมันสนุกเพราะมันได้ทำแล้วหาคำตอบ จะล้มเหลว จะเละ ก็ไม่เป็นไร ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ แต่พอไปอยู่ ม.ปลาย ทดลองก็ไม่ได้ทดลอง อยู่ดีๆก็นั่งท่องสูตร ปัญหาไม่ใช่มีแค่ที่ไทยครับ ที่ประเทศที่เราคิดว่าโคตรเจริญซึ่งก็คือ สหรัฐอเมริกาก็เจอ แถมปีที่คนเขียนเขาเขียนก็น่าจะช่วงปีเกือบๆ 2000 หรือ ต้น 2000 ซึ่งนั่นก็แปลว่าสหรัฐก็เจอปัญหาเกี่ยวกับการสอนวิทยาศาสตร์เหมือนกัน หนังสือว่าได้เจ็บแสบจริงๆถึง ครูวิทยาศาสตร์ที่ไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ มาสอนแบบท่องสูตร ให้ทำโจทย์หาผิดหาถูก ต่างๆนาๆ ไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากศึกษาวิทยาศาสตร์เลย ตอนอ่านนี่แบบ โอ้ ปัญหาเดียวกันเลยว่ะ

วิทยาศาสตร์ง่ายกว่าที่เราเข้าใจ

ผู้เขียนนั้นได้เล่าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจ เขาเล่าถึงชนเผ่าที่ห่างไกลความเจริญ ตอนอ่านคนส่วนใหญ่คงคิดว่าเกี่ยวอะไรกับวิทยาศาสตร์วะ แต่จริงๆมันเกี่ยวมากครับ ชนเผ่าเหล่านั้นเขามีวิทยาศาสตร์ของเขา การล่าสัตว์ของเขา การสะกดรอย ดูดินฟ้าอากาศ ต่างๆนาๆ มันเป็นวิทยาศาสตร์ การลองผิดลองถูก จดบันทึกว่าทำแบบนี้แล้วได้อะไร เกิดอะไร วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ เราไปมองว่าวิทยาศาสตร์จะต้องอยู่ในรูปของ คน IQ สูงๆ นั่งในห้องแคบๆ วิทยาศาสตร์อยู่ในชีวิตประจำวันของเรามากกว่าที่คิด

วิทยาศาสตร์อาจตอบคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าได้

ถ้าเคยอ่านหนังสือปรัชญา ยุคกลางเคยมีการบอกว่าทุกสิ่งที่อย่างบนโลกนี้นั้นซับซ้อนเพราะพระเจ้านั้นสร้างทุกสิ่งขึ้นมาอย่างปรานีต ดังนั้นวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นที่พยายามย่นย่อสิ่งต่างๆให้อยู่ในสมการ หรือ กฏต่างๆนั้นดูจะเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าเสียเหลือเกิน แต่ความจริงก็คือความจริง วิทยาศาสตร์สามารถตอบคำถามได้ว่า เราสามารถสรุปแรงโน้มถ่วงของโลกให้อยู่ในสูตร อยู่ในสมการ เราสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งมีชีวิตเกิดจากการเรียงตัวของเซลล์ซึ่งเป็นหน่วยย่อย การที่มนุษย์เป็นใหญ่หาใช่พระเจ้ากำหนดแต่เป็นทฤษฎีวิวัฒนาการและความบังเอิญก็เท่านั้น (เรื่องทฤษฎีวิวฒนาการนี่สามารถลบล้างการมีอยู่ของพระเจ้าได้เลยในยุคนั้น เล่นเอา ดาวิน เกือบตายเลยมั้ง) อ้าวแล้วมันตอบคำถามของการมีอยู่ของพระเจ้าได้ยังไงล่ะ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากฏทุกอย่างนั้นสามารถย่นย่อให้เหลือเพียงสมการเดียวได้ ถ้าเราสามารถสรุปมันเหลือสมการเดียวได้ นั่นแหละ สมการนั้นแหละคือตัวตนของพระเจ้า พระเจ้าผู้สร้างกฏทุกอย่างไม่ว่าจะแรงดึงดูด ความร้อน แสง ซึ่งนั่นก็เหมือนจะตรงกับคำสอนศาสนาด้วยนะว่า พระเจ้าทรงมีเพียงหนึ่ง สมการที่ตอบทุกอย่างก็มีเพียงหนึ่ง อันนี้ผมเข้าใจว่าคนเขียนเขากำลังบอกว่า วิทยาศาสตร์อาจใช้เป็นตัวยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าให้คนที่เคารพบูชาศาสนาทราบ และเห็นว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำลายศาสนา แต่เป็นกำลังพิสูจน์เรื่องพระเจ้าให้

มนุษย์ต่างดาว ร่างทรงติดต่อคนตาย และการพิสูจน์

หากคุยได้อ่านหนังสือเล่มนี้คุณอาจเปลี่ยนความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว คนทรง ไปเลยก็ได้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เอาข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว เหตุผลต่างๆมาให้อ่านกัน เช่น หากมนุษย์ต่างดาวเทพจริงและสื่อสารผ่านคนที่อ้างว่าติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้ ก็ลองให้เขาลองแก้โจทย์ของ ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา แต่พวกมนุษย์ต่างดาวกลับตอบได้ว่ามาเป็นมิตร ต่างๆนาๆ เฮ้ย คุณคิดดูสิ สิ่งมีชีวิตระดับโคตรมีภูมิปัญญา น่าจะตอบโจทย์ของแฟร์มาได้สิ (มีนักคณิตศาสตร์ที่เป็นมนุษย์โลกพิสูจน์ได้แล้วนะครับ ดังนั้นมนุษย์ต่างดาวน่าจะตอบได้มากกว่า) หรือทำไมการบอกเล่าว่าโดนมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปจะต้องโดนจับแก้ผ้า แล้ว ทดลอง แล้วปล่อยตัว มนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยกว่าเราจำเป็นต้องจับเราแก้ผ้าด้วยหรือ ทำไมเขาไม่ใช้เครื่องที่ไฮเทคดึง DNA ของเราไป Cloning เอาล่ะ (เรายังโคลนนิ่งแกะได้เลย) แล้วคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลเขาจะปล่อยคนที่โดนจับไปให้กลับมาป่าวประกาศให้ชาวโลกทราบว่ามีมนุษย์ต่างดาว หรือในกรณีร่างทรงติดต่อคนตาย ทำไมเวลาเราติดต่อคนตายได้ ทำไมคนตายไม่สามารถบอกได้ว่าใครฆ่าในกรณีฆาตกรรม หรือไม่สามารถบอกรายละเอียดที่เป็นความลับเกี่ยวกับคดีที่ไม่เผยแพร่ไปในที่สาธารณะได้เลยล่ะ หรือ มีร่างทรงของคนยุคโบราณ ทำไมคนเหล่านั้นไม่สามารถบอกได้เลยว่า ในยุคนั้นเขาติดต่อกันอย่างไร สภาพสังคมในยุคนั้น การเมือง เศรษฐกิจ ความเชื่อในยุคนั้น ละแวกนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีคำตอบจากปากร่างทรง (วิญญาณที่สิงอยู่ในขณะนั้น) เลย ทำไมล่ะ

วิทยาศาสตร์คือสิ่งที่พิสูจน์ตลอดเวลา

ผู้เขียนพูดถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ว่าทำงานยังไง ตั้งทฤษฎีด้วยความรู้ที่มีอยู่ตอนนั้น พิสูจน์ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น จากนั้นก็จะมีคนทำลายทฤษฎีนั้นด้วยวิธีต่างๆ หากไม่มีใครทำได้เราก็จะถือว่าทฤษฎีนั้นเป็นจริง แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปด้วยความรู้ที่มากขึ้นจนสามารถพิสูจน์ว่าทฤษฎีนั้นไม่ถูกต้อง ทฤษฎีนั้นก็จะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นถูกต้องขึ้นเรื่อยๆ วิธีการของวิทยาศาสตร์เป็นไปด้วยวิธีการแบบนี้มันเลยพัฒนาไปตลอด ชาววิทยาศาสตร์พร้อมที่จะออกมายอมรับว่าทฤษฎีนั้นผิด และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องเสมอ กรณีที่ยกตัวอย่างง่ายๆคืออายุของโลก ตอนแรกที่เรายังไม่มีความรู้เรื่องธรณีวิทยามากพอ เราประมาณอายุของโลกด้วยการคำนวณว่าสารชนิดหนึ่ง (จำไม่ได้) ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะเย็นตัว ซึ่งได้เวลาประมาณ 2 หมื่นปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรามีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยามากขึ้น อายุของโลกก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นแสนเป็นล้านปีไป นี่คือข้อดีของวิทยาศาสตร์แตกต่างกับศาสนาที่ยากมากจะยอมถูกตรวจสอบไม่ว่าจะเรื่องของพระเจ้า พระเยซู แค่เรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าโลกมีอายุนานกว่าที่ระบุไว้ในไบเบิ้ล แค่นี้ก็เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแล้ว (ลองคิดดูว่าถ้าตัวเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ในยุคกลางจะน่ากลัวขนาดไหน)

สรุป

โดยรวมแล้วสำหรับผมหนังสือเล่มนี้ดีมากเพราะเล่าเรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคลั่งเรื่องมนุษย์ต่างดาว การล่าแม่มด (อันนี้พีคของพีคไปหาอ่านดูแล้วคุณจะขอบคุณวิทยาศาสตร์) วิทยาศาสตร์ในแง่มุมต่างๆ ทั้งด้านดีงามและการนำไปใช้ที่ผิดวิธี การต่อสู้ของนักวิทยาศาสตร์ ประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกันได้อย่างไร และสุดท้ายวิทยาศาสตร์คือคบเพลิงไว้ต่อสู้กับโลกที่เต็มไปด้วยปิศาจนี้ ในส่วนของข้อเสียคงจะเป็นเรื่องการแปลที่ต้องสำนวนแปลกๆทำให้ต้องอ่านซ้ำหลายรอบ ซึ่งก็พอเข้าใจเพราะน่าจะเป็นศัพท์เก่าระดับหนึ่ง แถมคนเขียนก็คงจะใช้ศัพท์สูงในระดับหนึ่ง แต่โดยรวมแล้วถ้าใครพอมีเงิน 395 บาท แล้วอยากรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็ลองดูไปซื้อมาอ่านดูครับรับรองคุ้มเงินแน่นอน

เพลงประกอบการเขียน Blog

เพลงในความทรงจำวัยเด็กกับการเล่น Rockman X3 ปัจจุบัน Rockman X ยังค้างอยู่ที่ภาค 8 อยู่เลย