Neurofitness - สมองฟิต-ฟิตสมอง เคล็ดลับเพิ่มศักยภาพและปลุกความคิดสร้างสรรค์

Neurofitness - สมองฟิต-ฟิตสมอง เคล็ดลับเพิ่มศักยภาพและปลุกความคิดสร้างสรรค์

Neurofitness - สมองฟิต-ฟิตสมอง เคล็ดลับเพิ่มศักยภาพและปลุกความคิดสร้างสรรค์

สำหรับหนังสือเล่มนี้ซื้อมาจากงานหนังสือออนไลน์ซื้อเพราะชื่อหนังสือที่มีคำว่า “ฟิตสมอง” ซึ่งน่าสนใจมากว่าเราจะสามารถทำให้สมองเรามีประสิทธิภาพดีตลอดยังไง ซึ่งพอได้อ่านก็รู้สึกว่าไม่ค่อยตรงกับที่คาดหวังเท่าไหร่ แต่กลับสนุกเพราะหนังสือเล่าถึงเรื่องต่างๆของสมองไม่ว่าจะเป็นโรคประหลาดที่ไม่น่ารักษาหาย (ที่บ้านเรามองว่าน่าจะโดนผีเข้า ผีสิง โรคเวรโรคกรรม) แต่สามารถรักษาหายได้โดยผ่าตัดรักษา ให้ยา หรือช็อตไฟฟ้า (คุณอ่านไม่ผิดครับช็อตไฟฟ้า) โดยคุณหมอที่เขียนหนังสือเล่มนี้เขียนให้เข้าใจง่าย (คนแปลก็แปลได้เก่งมาก) โดยทุกเรื่องที่หมอเล่านั้นเป็นกรณีที่หมอเป็นคนรักษาเองด้วย การเล่าจึงเห็นภาพตั้งแต่อาการก่อนการรักษา การวินิจฉัย ตรวจเจอโรคได้ยังไง แล้วจะรักษายังไง ทำให้อ่านแล้วเหมือนนั่งฟังคุณหมอเล่านิทานให้ฟัง ส่วนในเรื่องของการฟิตสมองนั้นในหนังสือก็มีโดยจะพูดถึงการทำให้สมองสุขภาพดี แบบที่มีงานวิจัยยืนยัน อีกทั้งในแต่ละบทมีพูดถึงเรื่องที่คนนอกสายเข้าใจผิดๆ (หรือข้อมูลที่ได้นั้นถูกพิสูจน์ว่าไม่จริง) เช่น คนถนัดซ้ายจะใช้สมองซีกขวามากกว่า คนทำงานศิลป์ สมองซีกหนึ่งจะทำงานหนักกว่า ซึ่งจากงานวิจัยใหม่ๆพบว่าคนเหล่านั้นใช้สมองแทบจะเท่ากันเลย

ตัดสมองออกซีกนึงแล้วไม่ตาย

ตอนอ่านเรื่องนี้ครั้งแรกนี่แบบเฮ้ยได้เหรอวะ โดยเรื่องนี้เป็นกรณีของเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีอาการลมชักโดยมีสาเหตุมาจากสัญญาณไฟฟ้าในสมองผิดปกติ ซึ่งในการรักษาเบื้องต้นนั้นคือการใช้ยา แต่เมื่อรักษาไปเรื่อยๆยาเริ่มใช้ไม่ได้ผลจนสุดท้ายทางหมอและญาติจึงตัดสินใจใช้วิธีผ่าตัดสมองซีกขวาซึ่งเป็นที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติทิ้งเพื่อรักษาที่ต้นเหตุ อ่านถึงตรงผมตกใจมากว่าคนเราจะเสียสมองซีกนึงไปได้เลยเหรอ แต่คุณหมอก็อธิบายว่าสมองของเรานั้นเก่งมาก คือถ้าเราสูญเสียสมองส่วนที่ควบคุมร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งไป สมองจะพยายามเอาส่วนอื่นที่เหลือมาทำงานแทนส่วนที่เหลือไป ในกณณีของเด็กหญิงคนนี้นั้นต้องผ่าตัดสมองซีกขวาทิ้งทั้งซีกซึ่งนั่นทำให้เด็กหญิงสูญเสียการควบคุมร่างกายซีกซ้ายทั้งซีกไป แต่หลังจากกายภาพบำบัดเป็นเวลา 6 เดือน เด็กหญิงสามารถกลับมาใช้งานร่างกายซีกซ้ายได้เกือบปกติ ซึ่งหมออธิบายว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ความยืดหยุ่นของสมอง” แต่ไม่ใช่ว่าเสียสมองไปแล้วจะยืดหยุ่นกลับมาได้ทั้งหมดนะครับ มันมีสมองบางส่วนที่สำคัญมากที่ไม่สามารถเสียได้อยู่เช่นกัน

รักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า

อ่านแล้วก็ช็อกเหมือนกันครับสำหรับการรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้าเพราะภาพจำของผมนั้น การรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้านั้นมันไม่เหมือนการรักษาแต่มันเหมือนการทรมานเสียมากกว่า ซึ่งภาพจำมันมาจากหนังจากละคร โดยกรณีนี้คนไข้เป็นหญิงแก่คนหนึ่งมีอาการไบโพล่าที่รุนแรงมาก ซึ่งพยายามทำการรักษาด้วยยามาตลอดจนสุดท้ายยาไม่สามารถรักษาได้ จนญาติคนไข้ตัดสินใจใช้การรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า ซึ่งคุณหมอได้เล่าวิธีการรักษานั้นแตกต่างจากหนังที่เราได้ดู การช็อตไฟฟ้านั้นนั้นไม่ได้ใช้ไฟรุนแรงแต่อย่างใด แต่เป็นการใช้ไฟที่อ่อนมากๆกระตุ้นไปที่สมอง เพื่อปรับสภาพสัญญาณไฟฟ้าในสมอง ซึ่งการรักษานั้นใช้การช็อตไฟฟ้าหลายรอบมากซึ่งผลของการรักษาสามารถทำให้ไข้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ ดังนั้นถ้าหมอด้านสมองแนะนำการรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้าก็ขอให้ทำใจกลางๆพิจารณากันด้วยนะครับ

สรุป

หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสมองในแง่มุมที่เราไม่เคยรู้ ในเล่มยังมีกรณีที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ได้เล่า ไม่ว่าจะเป็นการกินแบบคีโตจินิกที่ดังๆนั้น จริงๆคิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาอาการของคนที่เป็นลมชัก การทดลองฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมองของวัวกระทิงเพื่อควบคุมให้วัวกระทิงวิ่งวนซ้ายวนขวา หรือแม้กระทั่งให้มันหยุดวิ่งไล่ขวิดคน (หรือที่มาทาดอร์หยุดวัวกระทิงได้นี่อาจจะมาจากการใช้การควบคุมแบบนี้ก็ได้นะ) อีกทั้งยังช่วยทำลายความเชื่อผิดๆ ความเข้าใจผิดๆที่เราเข้าใจเกี่ยวกับสมอง สำหรับใครที่ว่างๆไม่มีอะไรทำ หรืออย่างรู้เกี่ยวกับสมองผมแนะนำหนังสือเล่มนี้เลย แต่ถ้าใครคาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะบอกวิธีทำให้ฉลาดขึ้น คิดเลขเร็วขึ้น เป็นข้อๆเหมือนหนังสือ How to อันนี้ผมไม่แนะนำให้อ่านครับ