A Little History Of Science - วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การไขความจริงแห่งสรรพสิ่ง

A Little History Of Science - วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การไขความจริงแห่งสรรพสิ่ง

A Little History Of Science - วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การไขความจริงแห่งสรรพสิ่ง

ผมชอบหนังสือในชุด A Little History Of X เมื่อ X คือเรื่องอะไรก็ได้ ผมเคยอ่าน A Little History of Philosophy แล้วเหมือนเปิดโลกเกี่ยวกับปรัชญาในวงกว้างให้เห็น แนวคิดเกี่ยวกับโลกในมุมมองที่ไม่เคยคิดว่ามันมีคนคิดแบบนี้ด้วยเหรอวะ แถมเขาเล่าตั้งแต่อดีตไล่มาให้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา พอเห็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ก็เลยสั่งซื้อมา ถึงผมจะเป็นคนที่เรียนสายวิทยาศาสตร์แต่ก็ไม่ค่อยรู้ว่าวิทยาศาสตร์นั้นพัฒนามายังไง เกิดมาก็อยู่ในช่วงที่วิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรืองในระดับที่ไม่เอามาปนกับศาสนาและความเชื่อแล้ว

วิทยาศาสตร์ยุคแรกคือการมองฟ้าและนับ

อันนี้ผมก็ประหลาดใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นการมองฟ้ากับการนับ แต่พอมาอ่านก็เข้าใจเพราะสมัยก่อนมนุษย์ยังไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เลย สิ่งแรกที่มนุษย์เราทำก็เลยเป็นการมองฟ้าดูดวงดาว ดูพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดูว่ามันขึ้นลงยังไง จากนั้นก็เริ่มดูว่า 1 วันมันนานเท่าไหร่ จนชาวบาโบโลนสร้างรูปแบบการนับวันและเวลาแบบ 24 ชั่วโมงที่มาที่เราใช้กันในปัจจุบัน รู้ว่า 1 ปีมี 365 วัน โดยใช้การเฝ้ามองว่าพระอาทิตย์กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมนั้นใช้เวลานานเท่าไหร่ พวกเขาเริ่มคำนวณข้างขึ้นข้างแรมได้แม่นยำ เริ่มเอาไปใช้คาดการณ์ฤดูกาลได้ในการปลูกพืชผลได้ จริงๆไม่ได้มีแค่บาบิโลนนะครับ ที่จีน (จีนนี่แม่นมากถึงขนาดรู้ว่า 1 ปีมี 365 1 / 4 วัน) อียิปต์ ก็มีการนับเวลาแบบนี้เหมือนกัน นี่เลยทำให้เห็นว่ามนุษย์ทุกที่ก็พยายามทำในเรื่องคล้ายๆกัน

การแพทย์ในยุคกรีก

การแพทย์ในสมัยเราเป็นอะไรที่แบบดูเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก เรารู้ระบบการย่อยอาหาร ระบบการไหลเวียนโลหิต รู้ว่าเราสามารถติดเชื้อโรคได้จากไวรัส แต่ถ้าลองย้อนกลับไปเมื่อ 2000 - 3000 ปีที่แล้วล่ะ ในยุคที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับร่างกาย เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราป่วยเพราะอะไร ในสภาพแบบนั้นมันเป็นยังไง หนังสือเล่มนี้เล่าตั้งแต่มนุษย์คิดว่าโรคเกิดจากธาตุในร่างกายไม่เท่ากัน บ้างก็ว่ามาจากเทพ (ซึ่งดูเหมือนคนจะเชื่อว่ามาจากเทพมากกว่า) แต่ก็มีเหล่าคนที่ไม่คิดเหล่านั้น “ฮิปโปคราตีส” ผู้ได้ชือว่าเป็นบิดาของการแพทย์คือหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ฮิปโปคราตีสเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเกิดจากธรรมชาติ ไม่ได้มาจากเทพ โรคอันโด่งดังสมัยก่อนคือโรคลมชัก โรคนี้ถูกมองว่าเป็นอาการของเจ้าประทับทรง ฮิปโปคราตีสบอกว่ามันคือโรคที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งโคตรจะขัดกับความเชื่อกระแสหลักในสมัยนั้นที่เชื่อว่ามาจากเทพเจ้า อีกทั้งฮิปโปคราตีสยังคิดค้นวิธีการรักษาโรคโดยเขาคิดว่าโรคนั้นเกิดจากการที่ของเหลวในร่างกายไม่สมดุล ซึ่งเขาสังเกตจากการอาการของโรคที่เขาพบเจอเช่น เป็นหวัดมีน้ำมูก มีน้ำเหลืองจากแผล เขาจึงคิดวิธีรักษาโดยการทำให้ของเหลวในร่างกายสมดุล โดยมีวิธีรักษาโดยการดูอาการบ่งบอกโรค และเริ่มรักษา โดยการรักษานั้นเป็นการรักษาแบบติดตามโรคไปเรื่อยๆด้วย ดูว่าดีขึ้นไหมในแต่ละบุคคล (เหมือนหมอปัจจุบันเลย เลยไม่แปลกใจว่าแกเลยเป็นบิดาทางการแพทย์) อีกทั้งแกยังเป็นคนคิดจรรยาบรรณของแพทย์ด้วยว่า จะต้องรักษาผู้ป่วยด้วยสติปัญญาและความสามารถสูงสุด และจะไม่ใช้ความรู้ทางการแพทย์ในการทำร้ายผู้ป่วย

วิทยาศาสตร์คือการเรียนรู้สิ่งที่มีค้นพบไปหมดแล้ว

ดินแดนตะวันตกดินแดนที่เรามักเห็นว่านักวิทยาศาสตร์เก่งๆดังๆจะอยู่แถวนั้น เช่น นิวตัน (ที่หลายคนเกลียดแกเพราะการคิดค้น calculus และกลายมาเป็นข้อสอบยากๆ) จริงๆแล้ววิทยาศาสตร์นั้นถูกแช่แข็งที่ตะวันตกเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งเกิดจากเมื่อศาสนาเอาวิทยาศาสตร์มาใช้อธิบายหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล (คิดค้นโดย ปโตเลมี) และอีกหลายๆเรื่อง พอเอาความรู้ตอนนั้นมาใช้อธิบายศาสนาความรู้เหล่านั้นก็จะถูกจารึกว่ามันคือคำพูดของพระเจ้า พระเจ้าทรงทำแบบนั้นแบบนี้ คราวนี้พอมันเป็นแบบนั้นศาสนาก็พยายามควบคุมไม่ให้วิทยาศาสตร์ออกนอกกรอบ ถึงขนาดมีการพูดเลยว่า “วิทยาศาสตร์คือการเรียนรู้สิ่งที่มีค้นพบไปหมดแล้ว” พูดโดยนักบุญออกัสติน แต่ไม่ใช่ว่าศาสนาจะสร้างแต่เรื่องไม่ดี จริงๆพวกเขาก็ที่ต้องการให้วิทยาศาสตร์นั้นมีแบบแผนเดียวกัน เขาเลยสร้างสิ่งที่เรียกมหาวิทยาลัย (ที่เราเรียนกันในปัจจุบันเนี่ยแหละ) เพื่อให้การศึกษา ความรู้ที่สอนจะได้เหมือนกัน ไม่แปลกประหลาด แล้วก็กลายเป็นรากฐานการศึกษามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเนื่องจากปัญหาที่ศาสนาเข้ามาควบคุมความรู้ทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ทุกคนก็เลยเชื่อตามกันไปหมด ขนาด “โคเปอร์นิคัส” ทำการสังเกตและทดลองคำนวณจนสามารถตั้งทฤษฎีที่ว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลที่ ดาวเคราะห์ ดวงอาทิตย์ พระจันทร์ไม่ได้หมุนรอบโลก แต่สิ่งที่ว่ามาหมุนรอบดวงอาทิตย์ต่างหาก เขาถึงขนาดทำการคำนวณให้เห็นว่า ถ้าเราคำนวณถ้าเปลี่ยนไปให้ทุกอย่างหมุนรอบดวงอาทิตย์เนี่ย การคำนวณจะเป็นเหตุเป็นผลง่ายขึ้น ไม่ต้องทำการเพิ่มการทดรอบการหมุน (เพื่อให้สมการการหมุนรอบโลกนั้นถูกต้อง) แต่สุดท้ายเมื่อมันขัดกับความรู้เก่าที่ศาสนาเอามาบอกแล้วว่าพระเจ้าสร้างโลกให้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทฤษฏีนี้ก็ถูกต่อต้านและเป็นความคิดที่อันตราย ใครไปเห็นด้วยนี่โอกาสตายสูงกันเลยทีเดียวจนต้องใช้เวลาเกือบ 100 ปี กว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนได้ทำการศึกษาและบอกว่ามันคือความจริง งัดข้อกับศาสนาจนทำให้สุดท้ายแนวคิดว่าโลกและดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์จะกลายเป็นแนวคิดหลักแบบในปัจจุบัน

ไม่ใช่แค่เรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์และการคำนวณที่ถูกแช่แข็ง วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ถูกแช่แข็ง พวกเขาใช้ตำราของ เกเลน แพทย์ในสมัยโรมัน ประมาณปี ศ.ศ. 100 กว่าๆมาตลอด พวกเขาเชื่อตามที่เกเลนเขียนไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะสรีรวิทยา การรักษาโรค ยังเชื่อว่า ร่างกายประกอบด้วยธาตุ การรักษาเป็นไปตามที่เกเลนเขียนไว้ จนสุดท้ายเมื่อศาสนายอมให้มีการผ่าศพได้ (นักวิทยาศาสตร์พยายามขอร้องกับญาติ หรือ คนใกล้ตายให้บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาร่างกาย) พวกเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เกเลนให้ความรู้ไว้ไม่ถูกต้องทั้งหมด สรีรวิทยาที่เกเลนเขียนไว้นั้นมาจากการผ่าดูลิง หมู แล้วเอามาเทียบกับมนุษย์เพราะสมัยโรมันนั้นการผ่าศพเป็นเรื่องผิดกฏหมาย เมื่อมาเทียบกับความกับการผ่าศพคนจริงๆแล้วเห็นภายในจริงๆทำให้แตกต่างกันอย่างมาก จนสุดท้ายแนวคิดที่ว่า “วิทยาศาสตร์คือการเรียนรู้สิ่งที่มีค้นพบไปหมดแล้ว” ก็ได้ถูกทำให้เห็นว่าไม่จริง นักวิทยาศาสตร์เริ่มกลับมาศึกษาและพิสูจน์ความรู้ในอดีตว่าถูกต้องหรือไม่ มีอะไรใหม่กว่าที่เขียนไว้หรือไม่

สรุป

จริงๆมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจมากๆที่ผมไม่ได้เล่า (ที่ผมเล่ายังไม่ถึงครึงเล่มเลย) ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบทฤษฎีวิวัฒนาการที่สามารถใช้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าได้ หรือเรื่องการค้นพบแนวคิดที่ว่าโรคนั้นสามารถติดจากภายนอกได้ไม่ใช่เกิดจากร่างกายขาดความสมดุลเพียงอย่างเดียว อีกทั้งจะเห็นว่าความรู้จากวิทยาศาสตร์นำไปพัฒนาเป็นเทคโนโลยีและก็เอาเทคโนโลยีมาพัฒนาวิทยาศาสตร์ต่อ เช่น การใช้ความรู้จากวิทยาศาสตร์เรื่องการใช้กระจกในการขยายภาพ จากนั้นก็เกิดเทคโนโลยีการขยายภาพ พอขยายภาพได้มากขึ้นเราก็ค้นพบจุลินทรีย์ เชื้อโรค และเซลล์ แล้วก็ต่อยอดกันไปเรื่อยๆ

สำหรับใครที่อยากรู้ว่าวิทยาศาสตร์ที่หลายคนคิดว่าทำให้มนุษย์พัฒนาและยึดครองโลกได้ทั้งใบนั้นมีเส้นทางยังไง ต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์แต่มันคือความพยายามของเหล่านักวิทยาศาสตร์ คนยุคก่อนหน้าเรา ถ้าคุณจะขอบคุณเทพเจ้า พระเจ้า หรืออะไร ผมว่าคุณลองขอบคุณ ฮิปโปคราตีส เกเลน โคเปอร์นิคัส หรือ ลองเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นดูบ้างก็น่าจะดี