โปรแกรมเมอร์ งาน อารมณ์

บ่นล้วนๆ

เนื้อหาต่อจากนี้เป็นการบ่นล้วนๆ อาจหาสาระหรืออะไรต่อจากนี้ไม่ได้เลย ถ้าหวังอ่านเอาสาระก็ไม่ควรอ่าน แต่ถ้าอยากรู้ว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์แล้วอาจจะเจอกับอะไรบ้างก็อ่านได้ แต่แนะนำว่าให้อย่าเชื่อมากเพราะมันเป็นเรื่องที่ออกจากปากของมนุษย์ธรรมดาคนนึง มนุษย์คนนี้ย่อมเข้าข้างตัวเองเป็นธรรมดา ผมขอแค่คิดตามแล้วเอาส่วนที่ผิดพลาดไปเป็นบทเรียนและอย่าทำตาม

ปล. เนื้อหาทั้งหมดนี้เขียนเมื่อวันที่ 2016-12-06 22:52:06 พอดีผมไปเปิดเจอบทความเชิงบ่นที่จะเขียนลงแต่ไม่ได้เอาไปลง ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่ได้เอาไป พออ่านแล้วก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปตอนนั้นก็เลยคิดว่าเอามาลงดีกว่า

ชีวิตจริงมันไม่เหมือนฝัน

เชื่อว่าโปรแกรมเมอร์จบใหม่หลายคนคิดว่าเราจะได้ไปทำงานในสถานที่ที่เพียบพร้อม มีคนคอยบอกคอยสอนประหนึ่งเรียนในมหาวิทยาลัย มีคนคอยแนะนำ มีคนคอยให้ถาม ในทุกวันเราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ทำอะไรเจ๋งๆ ทำอะไรที่ทำให้เราดูมีคุณค่า ทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง ทำงานแบบมีความสุข ทำให้ทุกวันเราอยากก้าวเท้าออกจากบ้านไปทำงาน เพราะเราคิดว่ามันเป็นงานที่เรารัก ตอนเรียนผมรู้สึกอย่างงั้นจริงๆ ผมอยากเข้าห้องเรียน อยากให้อาจารย์สอนอะไรใหม่ๆให้ฟัง อยากสร้างโน่น สร้างนี่ สร้างนั่น ชีวิตตอนปี 3 ปี 4 มันเป็นอะไรที่สนุก แต่พอมาทำงานจริง ผมเหมือนโดนเตะลงทะเลได้ REQ มาว่าอยากได้แบบนี้ ภาษาก็เป็นภาษาใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด ผมมีเวลาได้เรียนกับหัวหน้าแค่วันเดียว ที่เหลือผมต้องวิ่งคว้าหาความรู้เอง ไม่มีคนบอกว่าว่า Design ที่ดีคืออะไร อะไรคือ Best practice ที่ต้องทำ ผมได้แต่นั่งค้นหาใน Google นั่ง Design ไปเปิดสมุดจดเน่าๆที่พยายามเขียนพยายามจดตอนเรียน พยายามหาว่าเราจะทำยังไงให้ดีที่สุด แต่สิ่งที่เราทำออกมา เขาไม่เคยสนใจว่า Backend ที่เราทำเราพยายามทำดีแค่ไหน เราต้องการให้มันออกมาเป็นยังไง เขาสนใจแค่หน้าจอ ความสวยงาม มันเป็นบทเรียนแรกที่ผมรับรู้ ลูกค้าไม่เคยสนใจหรอกว่าเราจะทำอะไร เขาสนใจแค่ว่าใช้งานได้ ผมไม่มีอะไรจะพูด งานที่ผมตั้งใจทำที่สุดกลับกลายเป็นเหมือนงานที่ไร้ค่าสร้างรายได้น้อยจนไม่พอจะเท่ากับค่าเครื่องที่ให้บริการ มันเป็นโปรเจ็คที่ผมให้ความสำคัญกับมันที่สุดแต่มันไม่มีค่าอะไรเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ

ตำแหน่งกับงานที่ทำ

ตอนผมสมัครผมสมัครตำแหน่ง Backend Developer แต่พอมาทำงานจริงผมต้องมายุ่งกับงาน Frontend บอกเลยว่าไม่ใช่งานถนัด การที่เราทำงานไม่ถนัดมันไม่ใช่เรื่องสนุก แต่หัวหน้าคนหนึ่งบอกว่า เราก็ต้องทำงานที่เราไม่ชอบบ้าง ไม่แน่เราอาจจะชอบ และการพัฒนาด้านที่เราไม่ถนัด ถ้าเราพัฒนาได้ระดับหนึ่งมันเห็นผลมากกว่าเราไปพัฒนางานด้านที่เราถนัดอีก อันนี้ผมก็จำใส่ใจและพยายามจะทำ แต่ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่มีหัวศิลป์ ไม่ชอบ สุดท้ายก็ลงเอยที่มันไม่ได้พัฒนาเลย ผมก็ยังเป็นทุกข์กับมันทุกครั้งที่เราทำงาน มันมีคำถามเสมอว่า ทำไมเราต้องทำสิ่งที่เราไม่ชอบด้วย ในเมื่อเรามีสิทธิ์เลือกงานที่ตัวเองทำได้ ถ้าตอนนั้นเราย้อนกลับไป ไปทำงานที่ที่เราอยากทำจริงๆ ไม่ต้องรักษาสัจจะ ไม่ต้องสนใคร สนแค่ตัวเอง เราจะเป็นยังไง เราจะดีกว่านี้ไหม เราจะอย่างงั้นอย่างงี้ไหม มันเป็นคำถามที่ผมมักจะถามตัวเองเสมอเวลาหงุดหงิด ท้อใจ หรือเบื่อ

อยากลาออก

จริงๆผมอยากลาออกตั้งแต่ยังไม่ผ่านโปร ตอนนั้นงานมันหนักมาก หนักจนขนาดที่เสาร์อาทิตย์ยังต้องทำงาน Deadline มันรออยู่ตรงนั้น การประเมินเวลามันเป็นเรื่องยาก ผมไม่เคยประเมินเวลาถูกเลยสักครั้ง จนถึงตอนนี้ก็เป็นอย่างงั้น งานที่ผมทำมันไม่มีสูตรบอกหรอกว่าเวลาที่แน่นอนของมันคืออะไร เราทำได้แค่ประเมินคร่าวๆ ยิ่งการประเมินต้องใช้เวลานานแต่เขาไม่มีเวลาให้เราขนาดนั้น และพอประเมินออกมาแล้วเราทำได้ไม่ดีเขาก็จะคิดว่าประเมินทำไม ทำไปเลย ยังไงก็ต้องแก้ ต้อง Test ผมประเมินเวลาด้วยความอ่อนด้อยของตัวเองเวลาเลยคลาดเคลื่อน เมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ เราทำได้แค่เอาเวลาเสาร์อาทิตย์มาเป็นตัวชดใช้ ผมเคยทำงาน 7 วัน ลืมตาเขียน Code จนเข้านอน เป็นช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสจนคิดว่าเสร็จงานนี้จะลาออกทำอย่างอื่นที่เบากว่าค่าแรงน้อยกว่าก็ช่าง

ไม่ได้อยากได้แบบนี้ ไปแก้มา

เป็นคำที่ผมได้ยินบ่อยๆ บ่อยมากๆ บ่อยจนผมเบื่อ ผมมักจะได้ REQ มาว่าต้องทำอย่างงี้ ผมและเพื่อนก็ไปทำงานมา พอเอาไปให้ Test สิ่งที่ตอบกลับมาคือไปแก้มา ไม่ดี ทำไมไม่ทำแบบนี้แบบนั้น ผมไม่ชอบมากเพราะ คุณไม่มา Desgin กับพวกผม พอจะให้มาคุณก็ติดงานอื่น คุณก็บอกให้พวกผมทำๆๆๆๆ คุณก็เอาไปดูแล้วก็บอกว่าไม่ดีไปแก้มาแบบนี้ ในมุมมองคุณมันไม่ยากหรอก แต่พวกผมอะมันยาก ต้องไปแก้โน่นแก้นี่ บางอย่างต้องแก้ Structure หลายๆอย่างมันทำให้ผมหงุดหงิดทุกครั้งไม่ว่าแผนกไหนที่มาบอกให้ผมแก้ แต่หัวหน้าก็มักจะบอกว่า “ทำไมมึงไม่ไปคุยกับเขา ไปสรุปกับเขาว่ามันต้องเป็นยังไง” ซึ่งมันก็จริง แต่ผมต้องพาตัวเองไปทำงานที่ไม่ถนัดคือคุยกับมนุษย์ มนุษย์ที่พร้อมจะพลิกลิ้นได้เสมอ มนุษย์ที่วันนี้จะเอาแบบนี้ อีกวันจะเอาอีกแบบ บางครั้งผมอยากจะอัดเสียงแล้วเวลามีปัญหาจะได้บอกว่า “นี่เสียงหมาตัวไหนพูด”

ตกลงผมคนทำ หรือ คุณเป็นคนทำ

มันเป็นเรื่องตลกนะ ที่มีใครสักคนที่ไม่แทบจะไม่รู้ห่าไรเกี่ยวกับโปรแกรม แต่สามารถมาบังคับคุณได้ว่า มันต้องเสร็จวันนี้ แล้วคุณก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้มันเสร็จทัน ในโลกความเป็นจริงมันคืออย่างงั้นจริงๆ มี Project นึงมันต้องเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ของสักปี ผมกับเพื่อนมีเวลาน้อยมากในการ Design หรือเรียนรู้อะไรดีอะไรไม่ดี สุดท้ายพวกผมก็ต้องอดหลับอดนอนปั่นมันจนเสร็จ ช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงที่ผมอดหลับอดนอน เสาร์อาทิตย์ก็ต้องลองโน่นลองนี่ไปกับงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้น Production เขาก็ไม่เอาไปขาย สรุปว่ามันคือห่าอะไร ผมอดหลับอดนอนเพราะคำสั่งของคุณ แต่คุณไม่เอาไปขาย คุณบอกว่าขายไม่ได้ คุณบอกพวกเราเขียนโปรแกรมห่วย เพราะอะไรล่ะ เวลาเหี้ยๆนั่นไงที่ให้มาแค่นั้น พวกผมก็ปั่นจนจะตายห่า หัวหน้าพวกผมก็โดนพวกคุณเรียกไปคุยได้ตลอด ผมจะเอาเวลาไปปรึกษากับเขาตอนไหนก็ไม่ได้ งานเร่ง งานกดดัน แต่จะเอาดี เอา Perfect จะเบิกโอก็เบิกไม่ได้เดี๋ยวเป็นประเด็น สุดท้ายก็โอฟรีไปดิ

ถูกเร็วดี เอาแม่งทุกอย่าง

ตอนเรียนวิชา Software engineering คำสามคำคือ ถูก เร็ว ดี คุณมีสิทธิ์เลือกได้แค่ 2 อย่างแล้วที่เหลือคือสิ่งที่คุณจะต้องจ่าย ถ้าถูก และ เร็ว มันจะไม่ดี แต่ถ้า เร็ว และ ดี มันจะไม่ถูก เป็นต้น นี่คือสิ่งที่คนทำงานเกี่ยวกับการขายหรือจัดการที่เวลามาทำงานด้านคอมควรรู้แต่เปล่าเลย แม่งจะเอา ถูก เร็ว ดี เอาแม่งทุกอย่างแล้วมันคือเหี้ยอะไร พวกผมต้องมารับภาระทำไอ 3 อย่างนี้ให้ได้อะนะ ปั่นเสาร์อาทิตย์ วันธรรมดาก็กลับดึก แต่พวกคุณล่ะ ผมเห็น 17.30 ก็กลับกันหมดละ เสาร์อาทิตย์เที่ยวกันสนุกสนาน พองานไม่ทัน พวกผมก็โดนหาว่าช้า ทั้งๆที่คุณกำหนด Deadline มา พวกผมอิดออดห่าไรไม่ได้เลย ทำทันแต่งานออกมาไม่ดีก็โดนด่าว่าไร้ฝีมือ พอจะใช้เวลานานๆยาวๆ ก็บอกว่าไม่ให้ จะให้คิดแพงๆกับลูกค้า แม่งก็ไม่เอากลัวขายไม่ได้ แทนที่โปรเจ็คบางโปรเจ็คควรได้เงินมากกว่านี้ 3 - 4 เท่า คือถ้าเขาไปซื้อกับเจ้าอื่น เจ้าอื่นขายประมาณ 200 แต่ซื้อกับเราขาย 20 พ่อมึงเถอะ มันจะถูกเกินไปไหม คือต้องซื้อ Text Software engineering มาให้อ่านเหรอ ถึงจะรู้เรื่องว่าอะไรคือถูกต้อง

ทำๆไปเถอะเดี๋ยวค่อยแก้ทีหลัง

มันเป็นคำที่ฟังบ่อยมาก จากหลายๆปากๆ คำถามคือใครจะเป็คนแก้ ผมไง ใครเดือดร้อน ก็ผมไง แต่ไอคนที่พูดมันเดือดร้อนด้วยไหม เปล่าเลย มันก็นั่งสบายใจอยู่แถวไหนสักที่ บางวันก็โทรมาว่าว่าโปรแกรมห่วยมากมีเคสเข้าบ่อยขนาดนี้ได้ยังไง และอะไรหลายๆอย่าง พอผมจะหยิบเอางานเก่ามาแก้ก็จะมีคำถามว่า แก้ทำไม เงินก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น พอบอกว่าเออมันต้องแก้ไง หมาเคยบอกว่า “ขึ้นไปก่อนค่อยมาตามแก้” เขาก็จะบอกว่ามันกระทบอะไรบ้าง ต้องเทสอะไรบ้าง มีคนเทสไหม และต่างๆนาๆ สุดท้ายผมก็ไม่ได้มีโอกาสแก้งานของตัวเอง ปล่อยให้มันซ่อนปัญหาและอะไรหลายอย่างไว้ พอเวลาผ่านไป ไอปัญหาที่ผมอยากแก้แต่ไม่ได้แก้มันก็แสดงอาการ เกิดปัญหา ก็โดนด่าว่าทำไมเขียนห่วยแบบนีต่างๆนาๆ เอ้า “ไอ้เหีย กูจะแก้ก็กลัวเปลือง Cost บางทีก็จะไม่จ่าย Cost ให้ ตกลงยังไง” สุดท้ายพวกผมก็ทำห่าไรไม่ได้ สุดท้ายก็โดนด่าบวกกับต้องแก้งานไอห่านี่แบบรีบเร่ง เพราะงานอื่นกูก็โดนแม่งสั่งมาให้ทำเหมือนกัน แถมช้าไม่ได้นะ ช้าก็มีปัญหา ไอตัว Code ที่ต้องแก้แม่งก็เขียนไม่ดี เวลาที่จะแก้ก็ต้องใช้เวลานานถ้าจะแก้แบบจริงๆจังๆ สุดท้ายก็แก้แบบเหี้ยๆ พอให้มันผ่านๆไป แล้วมันก็จะกลับมาใหม่พร้อมคำด่าว่า ต้องแก้อีกแล้วเหรอ คือ “ตกลงจะเอาไงวะ กูจะแก้แบบจริงจังแต่แรกก็ไม่มีเวลาให้ เวลาก็ไม่มีให้กู ตกลงจะเอาไง”