ศาสตร์แห่งการเขียนที่โน้มน้าวใจได้ทุกคน - Harvard writing - lessons from 150-year-old

ศาสตร์แห่งการเขียนที่โน้มน้าวใจได้ทุกคน - Harvard writing - lessons from 150-year-old

ศาสตร์แห่งการเขียนที่โน้มน้าวใจได้ทุกคน - Harvard writing - lessons from 150-year-old

ผมเห็นชื่อหนังสือนี้แล้วนี้แล้วเกิดความสนใจว่าการเขียนมันจะโน้มน้าวคนได้ดีถึงขนาดเขียนเป็นหนังสือขายได้เลยเหรอ ปกติเห็นแต่การพูดโน้มน้าวใจ พูดแบบ TedTalk พูดแบบ Steve jobs ด้วยความสงสัยก็เลยยืมมาอ่าน ซึ่งหนังสือได้อธิบายวิธีการเขียนที่ชื่อ O-R-E-O Map ที่หนังสืออ้างว่าเป็นวิธีการเขียนเดียวกับวิชาเขียนที่ Harvard สอนให้กับนักศึกษาทุกคน ซึ่งจากการสัมภาษณ์ศิษย์เก่าหลายคนจาก Harvard ต่างบอกว่าวิชาที่มีประโยชน์ที่ได้เรียนจาก Harvard วิชาหนึ่งคือวิชาการเขียน เพราะทำให้เขาเขียนอธิบายต่างๆได้ดี ตรงประเด็น ทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

O-R-E-O Map

O-R-E-O Map เป็นวิธีการการเขียนแนวโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อเรื่องที่เราเขียนโดยใช้วิธีการใช้เหตุผลร่วมกับหลักฐาน โดยหลักการเขียนดังต่อไปนี้

O = Opinion

ในส่วนนี้คือส่วนเริ่มต้นของงานเขียนคือบอกสิ่งที่เราอยากจะโน้มน้าวให้คนเชื่อ เช่น วิธีการทำงานรูปแบบใหม่ การเชิญชวนให้ทำอะไรใหม่ๆ เป็นต้น นี่คือส่วน Opinion โดยส่วนนี้เป็นส่วนเริ่มของบทความเพื่อให้ผู้อ่านสนใจ จากนั้นจะส่งต่อผู้อ่านไปที่ส่วนถัดไปคือ Reason

R = Reason

Reason ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องเชื่อหรือทำตามข้อเสนอนั้น เช่น วิธีการทำงานรูปแบบใหม่ดีกว่าแบบเก่ายังไง ทำไมต้องทำอะไรตามคำที่เชิญชวน เป็นต้น ซึ่งพอผู้อ่านได้ทราบเหตุผลที่สมเหตุสมผลก็เป็นเรื่องง่ายที่ผู้อ่านจะเริ่มคล้อยตาม

E = Example

การให้เหตุผลอาจจะยังไม่หนักแน่นพอในการทำให้คนเชื่อเรื่องที่เขียน ดังนั้นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องที่เขียนจึงต้องมาการนำหลักฐานมาแสดงให้ผู้อ่านดูว่า เหตุผลที่ว่ามานั้นสามารถนำมาใช้ได้จริง เช่น ถ้าเรานำเสนอวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ ส่วน Example นี้จะเป็นการหาหลักฐานอ้างอิงว่ามีบริษัทไหนเอาวิธีนี้ไปทำแล้วบ้าง ทำแล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรเป็นต้น

O = Opinion / Offer

ส่วนนี้เป็นส่วนปิดของการเขียนโดยจะเป็นการเน้นย้ำเกี่ยวกับ Opinion อีกครั้ง หรือเป็นการเสนอว่าผู้อ่านควรทำอะไรต่อ เช่น ให้ลองเริ่มทำวิธีการทำงานรูปแบบใหม่กับงานเล็กๆดูเลย หรือ ลองนำเสนอหัวหน้างาน เป็นต้น

การทำให้ประโยคมีประธาน

หนังสือพูดถึงปัญหาของงานเขียนที่พบบ่อยคือการที่ประโยคไม่มีประธาน ซึ่งนั่นจะทำให้คนอ่านนั้นเกิดความสับสนว่า เรื่องที่อ่านกำลังจะบอกอะไร ใครเป็นคนทำ ตัวอย่างเช่น “ในชั้นเรีนการเขียน สำหรับผู้ที่เตรียมเป็นอาจารย์ ต่างบ่นกันให้ขรมว่าการเขียนนี่ช่างลำบากเสียจริง” จะเห็นว่าคนอ่านต้องพยายามหาว่าประธานคือใคร ซึ่งถ้าจะให้เดาจากการอ่านมันคือ คนที่มาเรียนชั้นเรียนสำหรับผู้ที่เตรียมเป็นอาจารย์ ถ้าเราเปลี่ยนการเขียนเป็น “ผู้ที่มาเรียนชั้นเรียนการเขียน สำหรับผู้ที่จะมาเป็นอาจารย์ต่างบนกันให้ขรมว่าการเขียนนี่ช่างลำบากเสียจริงๆ” จะเห็นว่าอ่านแล้วเข้าใจได้เลยตั้งแต่การอ่านครั้งแรก ไม่ต้องมาคิดว่าคนกันนะที่บ่น

อ่านแล้วได้อะไร

สิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้คือวิธีการเขียนแบบ O-R-E-O Map ซึ่งเป็นวิธีการเขียนง่ายๆแต่ดูอ่านแล้วทำให้เราคล้อยตามได้จริงๆ ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวมันคล้ายๆการเขียนงานวิจัยที่มีส่วนบทนำที่อธิบายว่างานวิจัยนี้ค้นพบอะไรน่าสนใจตรงไหน จากนั้นก็มาส่วนทฤษฎีที่อธิบายเหตุผลว่าทำไม ต่อด้วยส่วนที่เป็นผลการทดลองเพื่อให้ดูว่าทำจริงๆนะไม่ได้นั่งเขียนมั่วๆขึ้นมา และสุดท้ายสรุปผลการทดลอง ซึ่งใกล้เคียงกันมากเปลี่ยนแค่ส่วนสรุปมาเป็นส่วนเน้นย้ำและเสนอแนะ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่วิธีการเขียนนี้จะโน้วน้าวใจผู้อ่านได้ (แต่น่าแปลกตรงที่ทำไมคนไม่ชอบอ่านงานวิจัย แต่ชอบอ่านงานที่เขียนคล้ายงานวิจัย)

ส่วนข้อเสียของหนังสือเล่มนี้คือกว่าจะเข้าส่วนที่เป็นเนื้อหาจริงๆนั้นช้ามาก ตัวหนังสือพยายามพูดข้อดีของการเขียน O-R-E-O Map มากจนเกินไปทำให้คนอ่านอย่างผมรู้สึกเบื่อที่ไม่เข้าส่วนแนะนำการเขียนสักที ซึ่งพอถึงส่วนแนะนำการเขียนนั้นเนื้อหากลับน้อยมาก จริงๆมันควรจะมีตัวอย่างการเขียนที่ไม่ดี แล้วนำมาปรับเป็นการเขียนแบบ O-R-E-O Map ให้ดูหลายๆรูปแบบ แต่หนังสือแสดงให้ดูแค่ 2 - 3 ตัวอย่าง อีกหนังสือชอบยกตัวอย่างว่าหลายๆที่ใช้วิธีการเขียนแบบนี้กับบริษัทดังๆในโลกซึ่งถ้ามีแค่ 2 - 3 ตัวอย่างก็ดีครับแต่สำหรับเล่มนี้มันเยอะเกินไปจนส่วนที่เป็นเนื้อหาจริงๆดูน้อยมาก

ในหนังสือเล่มนี้ยังมีแนะนำวิธีการเขียนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับ O-R-E-O Map เช่นการทำให้ประโยคมีประธาน การใช้ภาคแสดงให้น่าสนใจ เทคนิคการเขียนเล่าเรื่อง เป็นต้น สำหรับใครที่อยากหาวิธีเขียนที่โน้มน้าวใจผู้อ่านได้ง่ายหรืออยากได้วิธีเขียนที่ทำให้งานเขียนดูเป็นเหตุเป็นผลก็ลองไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูครับ รับรองว่าจะมีประโยชน์กับคุณแน่นอน