OMG รักจังวะผิดจังหวะ

OMG รักจังวะผิดจังหวะ

ความคิดเห็นส่วนตัว : แนะนำให้ดูถ้าคุณชอบหนังที่เล่นกับการรู้สึกและการโดนตั้งคำถาม

ผมเห็นหนังเรื่องนี้ครั้งแรกจาก Facebook ที่เขาแชร์ๆกันมา โดยพอกดเข้าไปดู “เรื่องของความรักที่ผิดจังหวะตลอด” ผมก็แบบก็แบบเอ้ย น่าสนใจดีเว้ย ยิ่งพอดูไปดูมาเอ้ยทำไมสถานที่ในหนังมันคุ้นๆจังเลย ดูไปดูมาอ้าวนั่นมันที่เราเคยเรียนนี่หว่าก็เลยยิ่งอยากไปดูเข้าไปใหญ่ แล้วทีมโฆษณาของหนังเรื่องนี้ก็เก่งมากในการทำให้เราสนใจหนังเรื่องนี้ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบ การแนะนำตัวละครต่างๆ บทสัมภาษณ์ ซึ่งการทำให้น่าสนใจนี้ไม่ได้เปิดเผยประเด็นสำคัญต่างๆในเรื่อง (แถมมันพาเราหลงทางด้วย)

ความคิดเห็นแบบไม่เปิดเผยเนื้อเรื่อง

โดยส่วนตัวผมประทับใจหนังเรื่องนี้มาก ถ้ามีคนมาถามว่าควรไปดูหนังเรื่องนี้ไหมผมก็จะแนะนำว่าไปดูเลยรับรองว่าน่าจะได้อะไรออกมาจากโรงแน่ๆ ซึ่งถ้าคุณหวังความตลก ฮา แบบหนังรักวัยรุ่น ผมบอกเลยว่าเรื่องนี้มีให้คุณเต็มที่และจังหวะลงตัวแบบไม่ยัดเยียดด้วย

ในส่วนของสาระที่หนังอยากจะให้ผู้ชมนั้นผมบอกเลยว่าให้เต็มที่มากครับ มันไม่ใช่หนังรักวัยรุ่นที่โชว์แต่เรื่องรักให้ฟินจิกหมอน แต่หนังเรื่องโยนคำถามให้กับคุณหลากหลายคำถาม บางคำถามนั้นยากจะหาคำตอบที่ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในทุกมุมมอง แค่คุณเปลี่ยนมุมมองหรือคิดอีกแบบคำตอบที่ได้อาจจะเป็นคนละเรื่องเลย ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เป็นเหตุผลที่ผมแนะนำให้คุณไปดู

ที่ผมชอบอีกเรื่องหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือความผิดจังหวะของตัวเอกทั้งสอง โดยเฉพาะตัวพระเอกมันแบบผิดจังหวะไปหมดทุกตอน ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นใจตัวเอกและเข้าข้างพระเอกไปอีก (ซึ่งจุดนี้เองมันจะทำให้คุณรู้สึกแปลกเมื่อเจอการตัดสินใจ)

ในส่วนของเพลงประกอบนั้นบอกเลยดีมากๆซึ่งเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษแต่ทางหนังก็ไม่ได้ใจร้ายเพราะขึ้นแปลไทยให้เราด้วยทำให้อินไปกับเพลงไม่ยาก โดยเพลงที่ฟังแล้วอินมากๆก็คงเป็นเพลง Not Ready to Lose You ที่โคตรเข้ากับฉากนั้นมากๆ

สรุปแล้วสำหรับผมแล้วเรื่อง OMG เป็นหนังที่คุ้มค่าที่จะเสียเงินหรือเวลาดูครับและจะยิ่งเหมาะมากๆถ้าคุณชอบหนังที่เล่นกับอารมณ์และการโดนตั้งคำถาม แต่เรื่องนี้อาจไม่เหมาะสำหรับคนที่คาดหวังว่าจะได้ดูหนังรักวัยรุ่นแล้วให้ความรู้สึกฟินจิกหมอนเพราะหนังไม่มีฉากแบบนั้นให้คุณดูเลย

ความคิดเห็นแบบเต็มๆมีการพูดถึงเนื้อเรื่องเหมาะกับคนที่ดูจบแล้ว

ตอนผมเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาประมาณแฟนเดย์ที่ชอบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ได้ และสุดท้ายก็ประมาณว่าไปเที่ยวด้วยกัน 1 วันสุดท้ายก่อนนางเอกจะแต่งงานอารมณ์แบบเก็บเป็นความทรงจำก่อนที่จะไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้แล้ว ซึ่งที่คิดแบบนั้นก็เพราะว่าตัวอย่างหนังล้วนๆเลย

ตัวอย่างภาพยนตร์ ‘OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ | Official Trailer

แถมยังโดนทำให้เชื่อเข้าไปอีกกับ MV เพลงสมมติว่าเราซึ่งเป็น OST อีกเพลง (เพลงนี้มี version ภาษาอังกฤษด้วย) สมมติว่าเรา

ตอนนั้นนี่เข้าไปด้วยความคาดหวังที่ว่ามาเลยแต่พอหนังค่อยๆเล่นไปนี่คนละอารมณ์ถ้าจะให้บรรยายความรู้สึกมันเหมือนคุณไปดูหนังเรื่อง “รักแห่งสยาม” อะครับ คุณกะไปดูคู่พระนางกุ๊กกิ๊กกันแต่พอไปถึงฉากงานเลี้ยงมันเหมือนแบบเฮ้ยเอาจริงดิ เรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ คุณกะมาเจอรักไม่สมหวังแบบพวก Loser แพ้กันแต่กลายมาเป็นหนังที่เล่นเกี่ยวกับเรื่องการแย่งแฟน การนอกใจ ซึ่งเป็นประเด็นที่รุนแรงระดับหนึ่งเลย ซึ่งการแย่งแฟนนอกใจเนี่ยเราพบได้กันในสังคม ข่าวหน้าหนึ่งบางวันพูดถึงการฆ่ากันเพราะแฟนนอกใจหรือมีเรื่องกันเพราะแย่งแฟน ผมล่ะอย่างชอบการที่คนทำหนังเรื่องนี้เอาประเด็นนี้มาเล่นโดยที่ชอบกว่านั้นคือเขาค่อยๆใส่มันมาแบบแนบเนียนด้วย (พี่แนบเนียนตั้งแต่ตัวอย่างกับ MV เลย) โดยตอนแรกๆเขาให้เราเห็นการพยายามแย่งแฟนของกาย(พระเอกของเรื่อง) ผ่านการเสี้ยมให่จูน (นางเอกของเรื่อง)เลิกกับผิง(แฟนของจูนและเป็นเพื่อนสนิทของกาย)ในฉากหน้าร้านประเสริฐวิทยา ซึ่งเราก็คงคิดว่าพระเอกมันคงพูดตามเหตุผลและไม่อยากให้จูนเสียใจเพราะนิสัยแย่ๆของผิง แต่ถ้าดูฉากต่อไปคือกายน่ะอยากเป็นแฟนกับจูนมากๆถึงขนาดที่พอคิดว่าจูนเลิกกับเพื่อนตัวเองแล้ว ก็เลิกกับแฟนตัวเองทันที (ส่วนนี้ก็เป็นประเด็นเหมือนกันแต่มันไปขยายตอนท้ายเรื่อง) แต่สุดท้ายมันไม่สำเร็จเพราะจูนไม่ได้เลิกกับผิง และดูเหมือนจะเป็นเรื่องเสียด้วยเพราะตัวผิงก็รู้ด้วยว่ากายนั้นชอบจูนซึ่งนั่นทำให้ต้องทั้งคู่เลิกเป็นเพื่อนกัน

จากนั้นตัวหนังก็เพิ่มดีกรีการแย่งแฟนให้สูงขึ้นผ่านเหตุการณ์ที่กายมีโอกาสได้คุยกับจูนและได้รู้ว่าจูนนั้นชอบตนเองเช่นกัน เราจะเห็นได้เลยว่ากายหาวิธีแย่งแฟน พยายามหาความชอบธรรมให้กับตนเองในการแย่งจูนมาจากพี่พีท (แฟนคนปัจจุบันของจูน) จนขั้นสุดท้ายกายได้ส่งรูปที่ตัวเองจูบกับจูนไปให้พี่พีทเพื่อให้ทั้งสองคนนั้นเลิกกัน และการแย่งแฟนในเรื่องไม่ได้มีแค่กายแต่มีอีกคู่คือคู่พี่สาวกายที่โดนมือที่สามแย่งสามีไปด้วย ซึ่งจะเห็นว่าเรื่องนี้เล่นกับประเด็นนี้แต่ถ้าไม่เอะใจหรือสังเกตเราจะไม่รู้เลย เพราะฉากนั้นเหมือนแค่เป็นฉากให้ชี้ทางให้กายรู้ว่ามีวิธีที่ทำให้พี่พีทกับจูนเลิกกันเท่านั้น

สำหรับผมตอนนั้นมันมีคำถามมากมายถาโถมเข้ามาหาผมเพราะผมไม่รู้สึกว่าจะด่าไอคุณกายที่ทำการพยายามแย่งแฟนคนอื่น เช่นเดียวกันกับการที่ไม่รู้สึกอยากตำหนิจูนที่เห็นจูนพยายามบอกเลิกพี่พีท คือถ้าเป็นข้างนอกถ้าเราเห็นการพยายามแย่งแฟนคนอื่นเราก็คงตำหนิไปแล้ว เช่นเดียวกับถ้าเรารู้ว่าคนคนนึงกำลังจะเลิกกับอีกคนโดยที่อีกคนไม่ผิด เราก็ย่อมจะตำหนิใช่ไหม แต่ทำไมตอนนี้เราไม่รู้สึกแบบนั้น คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวผมซึ่งผมก็คิดว่าคนทำหนังก็คงคาดหวังให้เป็นแบบนั้นเช่นกัน

ถ้าเราลองมาไตร่ตรองดูดีๆเราจะเห็นหลายๆกรณีในเรื่องซึ่งมันเล่นกับศีลธรรมในใจเรามากๆ

กรณีผิงกับจูน

ในกรณีนี้เราแทบไม่รู้สึกผิดกับการที่กายพยายามแย่งจูนผ่านการเสี้ยม ซึ่งอาจจะเพราะมันเป็นเพียงการเสี้ยมเลยดูไม่แรงแต่ถ้าพูดกันตรงๆมันก็คือการพยายามทำให้คนเลิกกันเพื่อแย่งนั่นแหละ แล้วทำไมเราถึงไม่รู้สึกผิดล่ะ ที่ผมพอคิดได้ก็คือเพราะผิงมันทำไม่ได้ดีกับจูนยังไงล่ะ เราเลยไม่รู้สึกผิดที่จะอยากให้ผิงเลิกกับจูน มันเหมือนกับคุณเห็นคู่รักคู่หนึ่งแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนิสัยไม่ดี อาจจะทำร้ายร่างกายหรือเอาเปรียบอีกฝ่าย ถ้าเรามีโอกาสได้คุยกับฝ่ายที่โดนกระทำเราคงจะ “เสี้ยม” หรือแนะนำให้เลิกกันไปเลย แต่ๆๆๆๆเรากำลังทำให้คู่รักเลิกกันอยู่นะครับ มันเป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้วเหรอครับ

กรณีพี่สาวกายกับสามี

ในกรณีนี้เป็นการที่พี่กายโดนแย่งสามี จริงๆจะเรียกแยกก็ไม่ถูกเพราะฝ่ายชายนอกใจ แต่ฝ่ายหญิงก็อยากแย่งสามีไปจากพี่สาวกาย กรณีเรามองว่าฝ่ายหญิงที่ส่งรูปมาให้นั้นเป็นฝ่ายผิดทันที คงเป็นเพราะมันเป็นการแย่งแฟนจากคนที่มีคู่และแต่งงานแล้วมันเลยรุนแรงรึเปล่านะ

กรณีพี่พีทกับจูน

ในกรณีนี้คือการที่กายทำแบบเดียวกับผู้หญิงที่แย่งสามีจากพี่สาวตัวเองเลย แต่เหตุการณ์นี้เรากลับไม่รู้สึกอะไรกับมันมากมายมันเป็นเพราะอะไร จะมองว่ามันคนละรับคือคู่นึงแต่งงานคู่นึงไม่ใช่ แต่ถ้าดูดีๆคือพี่พีทขอจูนจนจะแต่งงานแล้วนะครับแทบจะไม่ต่างกันเลย ทำไมเราไม่รู้สึกว่าสิ่งที่กายทำมันเลวร้ายเท่ากรณีพี่สาวกายกับสามีล่ะ เหตุผลแรกที่ผมเห็นคือเพราะเราเชียร์ฝ่ายพระเอกอยู่ยังไงล่ะ และเราก็รู้ด้วยว่าจูนเองก็มีใจให้กับกาย ดังนั้นทั้งคู่ควรจะต้องคู่กันเพื่อให้เรื่องมันโอเค ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าการที่กายมันทำนั้นดูผิดเสียเท่าไหร่ ยิ่งพอเราไปเทียบกับกรณีที่แล้วเราจะยิ่งเห็นได้ชัด การที่เราต่อว่าว่าฝ่ายหญิงที่มาแย่งสามีพี่กายนั้นเราทำได้เต็มที่เพราะเราไม่รู้อะไรของอีกฝ่ายเลย เรารู้จักแต่ฝั่งพี่กายดังนั้นเราจะสามารถตำหนิฝ่ายนั้นได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

คราวนี้เรามาลองดูในอีกมุมคือมุมของผู้ถูกกระทำนั่นคือการที่โดนบอกเลยโดยที่ตัวเองไม่ผิด ในเรื่องเราจะเห็นว่าเราแทบไม่ได้เห็นใจตัวละครเหล่านี้เลย

กรณีกายกับแพตตี้

ในกรณีคือการที่กายหมดรักแพตตี้เพราะเขาชอบจูนมากกว่า กายเลยบอกเลิกแพตตี้แบบไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น ซึ่งฉากนั้นเป็นเหมือนฉากฮาๆฉากนึงแต่ถ้าคุณลองคิดสิว่าโดนคนรักบอกเลิกโดยไม่มีเหตุผลคุณเป็นแพตตี้คุณจะรู้สึกไง ถ้าถามหาเหตุผลจากผมว่าทำไมไม่สงสารก็คงเพราะเรารู้ว่ากายไม่ได้ชอบแพตตี้แล้วจะให้กายมันคบต่อทำไม ซึ่งมันก็ดีกับแพตตี้เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลา อีกทั้งเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแพตตี้เลยแม้แต่นิดเดียว เราไม่มีความรู้สึกอะไรกับแพตตี้เลย ดังนั้นเราเลยไม่สงสาร

กรณีพี่พีทกับจูน

กรณีนี้คือกรณีที่ผมเหวอกับตัวเองมากที่สุดเพราะผมไม่รู้สึกสงสารพี่พีทเลย ทำไมวะ พี่พีทแม่งโคตรคนดีเลยนะครับ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่มั่วหญิง ซึ่งแกสามารถทำได้ง่ายๆเลยแต่แกไม่ทำ ทั้งการดูแลจูนต่างๆนาๆก็ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆเลย ว่าง่ายๆแกคือผู้ชายในฝันตามค่านิยมของสังคมยุคปัจจุบันเลย ซึ่งผมโคตรหงุดหงิดตรงนี้มาก จะเพราะพี่แม่งเป็นคนดีไปรึเปล่าวะ เราเลยไม่สงสาร หรือเพราะเราคิดว่าแกเป็นคนดีเดี๋ยวแกก็คงทำใจได้เองแหละ ไม่อะไม่ใช่ สำหรับผมสุดท้ายผมว่าผมมีความลำเอียงมากกว่า ผมลำเอียงไปเข้าข้างฝั่งกายและจูนมากกว่าเลยไม่สนใจเลยมากกว่าว่าไอพี่พีทอะมันจะรู้สึกไง การที่พี่พีทเลิกกับจูนนั่นคือการทำให้ผมซึ่งเป็นผู้ดูรู้สึกว่ามันควรเป็นอย่างงั้น ดังนั้นผมจึงไม่สงสารพี่พีทเลยยังไงล่ะ

เราตัดสินด้วยอะไรและมันถูกต้องแค่ไหน

นี่เป็นอีกคำถามที่ผมได้จากการดูหนังเรื่องนี้ หากคุณไปอ่านกรณีเกี่ยวกับการแย่งแฟนทั้ง 3 กรณี คุณจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดแต่ทำไมมีแค่กรณีเดียวที่เราเห็นว่ามันผิดจริงๆส่วนที่เหลือเรากลับปล่อยผ่านมันได้อย่างหน้าตาเฉย เพราะมีคนหนึ่งเป็นคนไม่ดีเหรอมันถึงทำให้กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ หรือเพราะเรารู้บางอย่างมากกว่าคนทั่วไปเราเลยมองว่ามันเหมาะมันควรแล้วที่อีกคนนึงจะสามารถไปแย่งแฟนจากอีกคนนึงมา เช่น เรารู้ว่าสองคนนี้ชอบกันแค่อีกคนนึงดันมีแฟนก่อน เราเลยคิดว่ามันไม่ผิดอะไรมากถ้าแย่งเอามาเป็นแฟนได้ อีกเรื่องนึงคืออะไรคือสิ่งที่คนที่ไม่ผิดควรได้จากการโดนเลิกโดยที่ตัวเองไม่ผิดอะไร เขาต้องแบกรับความเจ็บปวดไปทั้งแบบนั้นอะนะ นี่คือสิ่งที่คนที่ดีอย่างไอพี่พีทมันควรได้เหรอ หรือจริงๆเรื่องพวกนี้มันไม่มีความยุติธรรมตั้งแต่ต้น มันก็แค่ความอยากเฉยๆ

แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน การที่เรายังคบกับแฟนคนเพียงเพราะเราคบเขาก่อน แต่ใจของเราเองชอบอีกคนและไม่ได้รักแฟนแล้ว เราควรยอมตกอยู่ในสภาพไม่มีความสุขอย่างนี้เพื่อเห็นกับแฟนที่เรากำลังคบอยู่เหรอ (ซึ่งเราก็ไม่ได้รักเขาแล้ว เราควรสนใจเขาด้วยเหรอ) และเราก็เหมือนไม่ซื่อสัตย์กับแฟนด้วย (เพราะใจไม่อยู่แล้ว) ด้วยเหตุผลทั้งหมดเราจะคบกับแฟนอยู่ทำไมล่ะจริงไหม

สำหรับผมการดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าการไปตัดสินอะไรพวกนี้มันเป็นเรื่องยากจริงๆ เพราะเราจะไม่โดนเรื่องเข้าข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่งจากการรู้เรื่องราวของฝั่งนั้นจนเกิดการลำเอียง (กรณีของกายที่แย่งแฟน) หรือเรามองแต่ด้านที่เราเชื่อถ้าทำแล้วมันเกิดสิ่งที่ดีกว่า (กรณีที่กายเสี้ยมให้เลิกกับผิง) โดยไม่ได้มองในมุมของผู้เสียประโยชน์เลย และอีกหลายๆกรณีที่พูดไป

สุดท้ายก็อยากให้ลองถามตัวเองกันดูครับว่า “คุณป็นผู้ตัดสินที่ยุติธรรมและถูกต้องได้มากแค่ไหน และ คุณใช้อะไรเป็นตัวตัดสินความยุติธรรมและถูกต้องนั้น”

ปล. ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นและการตีความส่วนตัวนะครับ คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือคิดเหมือนกัน