วิทยาศาสตร์แห่งความสุข - สำรวจความสุขและความหมายของชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์แห่งความสุข - สำรวจความสุขและความหมายของชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์แห่งความสุข - สำรวจความสุขและความหมายของชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์

หลังจากอ่านหนังสือพวกพัฒนาตัวเองมาได้สักพักหนึ่งผมเริ่มรู้สึกว่าหนังสือพวกนี้มันพยายามทำให้เราทำอะไรทีเยอะแยะเหนือคน หรือหาวิธีสุดยอดต่างๆนาๆ บางเล่มก็แบบจับใจคนใน 15 นาที เปลี่ยนเป็นยอดคนด้วยการทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งมันก็ดีครับแต่มันไม่ถูกจริตของผมและผมรู้ว่าวิธีของเขาใช้กับตัวผมไม่ได้ (เพราะผมลองแล้ว)

คำถามที่น่าสนใจคือผมพยายามทำตามหนังสือพวกนั้นไปเพื่ออะไร ถ้าตอบแบบหมาๆเลยก็คืออยากให้ตัวเองเก่งมีหน้าที่การงานที่ดีเพื่อให้ได้เงินเดือนที่เยอะขึ้นแล้วจากนั้นก็เอาเงินเดือนมาใช้จ่ายกับบางสิ่งที่ตัวเองพอใจ ซึ่งความพอใจนั้นอาจจะเรียกว่า “ความสุข” ก็ได้ ดังนั้นแทนที่ผมจะมุ่งหาวิธีเพิ่มเงินเดือนเพื่อสร้าง “ความสุข” (ที่เกิดจากความพอใจ) สู้ผมไปศึกษาว่า “ความสุข” คืออะไรน่าจะดีกว่า

ถ้าคุณไปหาหนังสือเกี่ยวกับความสุขผมรับรองเลยว่าน่าจะมีเป็นร้อยเล่ม อาจจะเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อ วิธีปฏิบัติตัว การมองโลกให้มีความสุข ซึ่งผมก็อ่านมาหลายเล่มทั้งแบบที่พูดถึงความสุขโดยตรง หรือนิยายปรัชญาที่พูดถึงความสุขในแง่มุมต่างๆของตัวละคร แต่ส่วนใหญ่มันก็ดูจะตอบแบบครอบจักรวาลหรือออกแนวเพ้อเจ้อไปเลย (คุณอาจไม่พอใจผมแต่แน่นอนครับ “เรื่องของคุณ” ) จนได้มาเจอหนังสือ วิทยาศาสตร์แห่งความสุข - สำรวจความสุขและความหมายของชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ ที่อธิบายความสุขจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ทั้งในด้านการแพทย์ ทางจิตวิทยาที่ใช้การทดลองกับกลุ่มทดลอง อีกทั้งหนังสือยังรวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับความสุขของอารยธรรมยิ่งใหญ่บนโลกทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งบอกเลยถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคุณจะเข้าใจความสุขในหลายๆแง่มุม

คนรวย ผู้มั่งคั่ง ทำไมยังมีความทุกข์

คุณคงได้ยินเรื่องเล่าของคนมั่งมีรวยล้นฟ้าแต่ชีวิตยังทุกข์ไหมครับ ผมเชื่อว่าคุณคงเคยได้ยิน ถ้าคุณเป็นคนนับถือศาสนาพุทธหรือเรียนโรงเรียนพุทธที่ใส่วิชาพระพุทธศาสนาในหลักสูตรคุณคงรู้จัก “เจ้าชายสิทธัตถะ” ที่มีทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวาร แต่เขาก็ยังรู้สึกทุกข์จนสุดท้ายต้องออกบวชหาทางพ้นทุกข์ ซึ่งหลายคนก็จะพูดว่า “ถ้ากูรวยแบบนั้น กูไม่ออกบวชแม่งหรอก กูจะอยู่แบบนั้นใช้ชีวิตสบายไปจนตายเลย” หรือ ถ้ามองให้ใกล้ตัวขึ้นมาหน่อย หากคุณเป็นคนชั้นกลางที่มีเงินเดือนมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ คุณมีเงินเหลือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน มีเงินเก็บ มีประกันสุขภาพ ถ้ามองแบบพื้นๆไม่ลงรายละเอียดคุณควรจะมีความสุข (กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องดิ้นรน) แต่ถ้าลองถามตัวเองดีๆคุณจะรู้สึกว่างเปล่า ชีวิตมันขาดอะไร น่าเบื่อ ไม่มี “ความสุข” เลย จนมันทำให้คุณขวนขวายหาสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นต้องมีบ้าน มีรถ มีเครื่องใช้ของใช้ใหม่ๆ ถ้ามีอยู่แล้วก็ต้องหาที่ดีกว่า ตำแหน่งงานที่มีอยู่แล้วยังไม่มากพอ ต้องมีมากกว่านี้

คุณคงเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ใช่ไหมครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงคุณหรอกครับ คนทั่วโลกก็เจอเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ได้ทำการอธิบายว่าเหตุการณ์นี้มันคืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพื่อให้เรารู้เท่าทันว่าเรากำลังเป็นหนูถีบจักรอยู่ ซึ่งเมื่อเรารู้ก็อยู่ที่เราว่าจะทำอย่างไรกับมัน เราอาจจะเป็นหนูถีบจักรแบบที่รู้ว่าตัวว่าถีบจักรเพื่อสนุกไปกับมันแต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเราก็สามารถหยุดได้อย่างไม่ต้องรู้สึกว่ามันไม่ดีหรือไม่ควร หรือ จะเลือกหยุดจากการถีบจักร หรือ จะถีบจักรต่อก็ได้เพราะมันสนุกและเป็นเรื่องปกติ (ชีวิตคุณคุณเลือกเอง ไม่มีใครบังคับคุณได้ครับไม่ว่าจะหนังสือ พ่อแม่ พี่น้อง หรือใครก็ตาม )

ความสุขหาได้เสมอเพราะเราปรับตัว

ผมขึ้นหัวข้อแบบนี้คงจะมีคนเริ่มหมันไส้บอกว่า “มึงลองมาเป็นคนจนสิไอ้เวร” ไม่ก็ “มึงกำลังทำให้ความจนเป็นเรื่องโรแมนติกสินะไอ้เวร” จริงๆผมว่าหลายๆคนที่ศึกษาเกี่ยวกับความสุขน่าจะโดนคำถามแบบนี้ ซึ่งบางคนรวมถึงผมก็คงจะด่ากลับว่า “เหี้ยไรมึง กูไปบอกตอนไหนวะ” แล้วก็เริ่มวิวาทะไร้สาระและประโยชน์กันตอ่ไป แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนั้นครับ เพราะเขาคงแยกออกระหว่าง “คุณภาพชีวิต” กับ “ความสุข” และเขากำลังศึกษาความสุขไม่ได้กำลังจะทำให้คนทั้งโลกคิดว่าเป็นคนจนแล้วมีความสุข เป้าหมายของเขากำลังค้นหาว่าความสุขเกิดได้กับคนที่ดูจะไม่มีความสุขเลยได้ไหม

การศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นคือไปตรวจสอบคนปกติที่เกิดอุบ้ติเหตุแล้วทำให้เขาต้องกลายเป็นอัมพาตทั้งตัวว่าเขาจะยังสามารถมีความสุขได้หรือไม่ ซึ่งถ้าผมและคุณได้ยินแค่นี้ก็คงจะรู้สึกว่ามันจะไปมีความสุขหลังจากอัมพาตได้ยังไงมันจะต้องทุกข์ทรมานไปจนวันตายแน่นอน แต่จากการศึกษาพบว่ามันมีจริงๆครับช่วงทุกข์ทรมานจนอยากตาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนเหล่านั้นจะเริ่มกลับมามีความสุขได้ โดยมีความสุขผ่านสิ่งที่พวกเขาพอที่จะทำได้ เช่น การดูทีวี ได้ฟังเสียงจากคนที่อ่านหนังสือให้ฟัง เป็นต้น ซึ่งมันน่าจะเหนือจากที่คุณและผมคิดใช่ไหมครับ

การศึกษาที่แล้วเจาะจงไปหาคนที่อยู่ดีๆก็ทุกข์แบบแสนสาหัสว่าจะสามารถมีความสุขได้ไหม ทีนี้มาถึงการศึกษาคนที่น่าจะทุกข์อยู่ตลอดเวลาว่าเขาสามารถมีความสุขได้หรือไม่ โดยเขาทำการศึกษาคนที่ทำอาชีพขายบริการ (ในบางประเทศคนขายบริการมีคุณภาพชีวิตไม่ค่อยดีเท่าไหร่) ซึ่งก่อนอ่านผมคิดว่าเขาคงทุกข์ทรมานต้องมาทำงานอะไรพวกนี้ เงินที่ได้ก็น้อยนิด มีปัญหาเรื่องการตีค่าเกี่ยวกับคุณค่าของชีวิต เขาคงจะต้องทุกข์ทรมานไม่มีวันความสุขได้แน่ แต่จากการศึกษาพบว่าคนเหล่านั้นสามารถมีความสุขได้ซึ่งก็ไม่ต่างจากการศึกษาที่แล้วคือเขามีความสุขจากสิ่งที่พวกเขาพอจะมีได้คือ การคุยกับเพื่อน คนรู้จัก

ในทางกลับกันนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ทำการศึกษาว่าคนที่บังเอิญได้สิ่งที่คิดว่าจะก่อให้เกิดความสุขแบบไม่สิ้นสุดจะมีความสุขแบบไม่หยุดเลยหรือไม่ โดยศึกษาจากคนที่อยู่ดีๆก็ถูกหวย คุณคิดว่าเขาคงมีความสุขแบบไม่หยุดหย่อนสุขไปจนตาย แต่จากการศึกษาเขามีความสุขมากในช่วงแรกและหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยรู้สึกมีความสุขมากเท่าตอนที่พึ่งถูกหวยสักเท่าไหร่

จากหลายๆการศึกษามันคงบอกคุณได้อย่างหนึ่งว่าคนเราสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้เสมอดูได้จากทั้งคนที่กลายเป็นอัมพาตหรือคนที่มีอาชีพที่ไม่น่าจะหาความสุขได้ ดังนั้นถ้ามีใครสักคนพูดว่าความสุขสามารถหาได้เสมอเขาไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ เช่นกัน ต่อให้คุณรวยล้นฟ้าล้นแผ่นดินคุณก็อาจจะไม่ได้มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมสักเท่าไหร่ครับ ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเกิดจากการที่คนเรามีการปรับตัวให้เข้าสภาพปัจจุบัน

ทำเลยมีความสุขแน่นอน

ในหนังสือมีพูดถึงสิ่งที่ทำแล้วจะทำให้คุณมีความสุขขึ้นแน่นอน ซึ่งจริงๆมันเป็นการสำรวจว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความสุขไปกับเรื่องอะไร ซึ่งเมื่อเราทำสิ่งนี้แล้วรับรองว่าเราจะไม่ทุกข์เหมือนคนส่วนใหญ่แน่นอน โดยมีหลายข้อแต่ผมจะยกตัวอย่างประมาณ 3 ข้อ ข้อที่เหลือคุณต้องไปหาหนังสือมาอ่านเองนะครับ

  1. ลดระยะเวลาการเดินทาง จากการสำรวจพบว่าคนจำนวนมากไม่มีความสุขกับการเดินทางไกลซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทางไปทำงาน ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาพรถติด เพื่อนร่วมถนนชั้นเลว ดังนั้นหากคุณลดระยะเวลาการเดินทางลดได้คุณก็จะทุกข์กับเรื่องเหล่านี้น้อยลงมาก

  2. ที่พักไม่อยู่ในที่เสียงดัง จากการสำรวจพบว่าคนจำนวนหนึ่งทุกข์กับการอาศัยอยู่ในที่เสียงดังเพราะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนและสูญเสียสมาธิ ซึ่งเรื่องนี้เราก็เข้าใจได้เลยเพราะถ้าคุณมีบ้านอยู่ใกล้ผับหรือสถานที่ก่อสร้างคุณคงรำคาญเสียงรบกวนซึ่งมันแทบจะดังตลอดเวลาที่มีกิจกรรม

  3. จัดการรูปร่างของคุณให้ตรงตามความต้องการของคุณ เรื่องนี้ในหนังสืออธิบายว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นใจของคนนั้น เขายกตัวอย่างเพศหญิงที่มีปัญหาหน้าอกใหญ่ หรือ เล็กจนเกินไปทำให้ตัวเองขาดความมั่นใจ ไม่ค่อยรู้สึกมีความสุข แต่หลังจากพวกเธอเข้ารับการผ่าตัดให้หน้าอกมีขนาดตามที่ตัวเองต้องการแล้วพบว่าผู้หญิงเหล่านั้นมีความสุขมากขึ้นซึ่งนั่นมาจากการที่เธอมีความมั่นใจ

อ่านแล้วได้อะไร

จริงๆหนังสือเล่มนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ช้างและควาญช้าง (ถ้าเข้าใจตรงนี้คุณจะเห็นภาพใหม่เกี่ยวกับความสุข) ทนายของตัวเอง กระจกสีกุหลาบ การตัดสินคนอื่น ที่มาของความสุข การถูกล็อตเตอร์รี่ความสุข สมการของความสุข (อันนี้มีสูตรจริงจัง) ซึ่งน่าสนใจมากกว่าที่ผมเขียนเล่าไปด้านบน (ก็ถ้าผมเล่าส่วนที่น่าสนใจสุดคุณก็ไม่ไปหามาอ่านน่ะสิ) ซึ่งผมรับรองเลยว่าอ่านแล้วคุ้มค่ากับเวลามากๆ มันจะทำให้คุณเข้าใจความสุขมากขึ้นซึ่งเมื่อคุณเข้าใจแล้วคุณก็สามารถนำมันมาปรับใช้กับชีวิตของคุณได้ ซึ่งมันดีกว่าการคุณไปอ่านหนังสือ How to ต่างๆนาๆแล้วเอามาทำตามเพื่อให้ได้ดั่งใจโดยไม่รู้ว่าเป้าหมายที่อยากทำนั้นคืออะไร