ความทรงจำปี 2020

ปี 2020 ที่ผ่านมา

ตอนเริ่มเขียนบันทึกปี 2020 เหมือนยังจำความรู้สึกตอนเขียนบันทึกปี 2019 ได้อยู่เลย ซึ่งนั่นแปลว่ามันรู้สึกเร็วมาก ทำให้นึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่เรียนด้วยคนนึงว่า “เวลาของคนวัยทำงานจะเร็วมาก”

สำหรับปีนี้คือปีแห่งความแปลกประหลาดอะไรที่ไม่คิดว่าเคยคิดว่าจะเกิดแบบจริงจังก็เกิดเพราะโรคระบาดที่ชื่อโควิท-19 เจออะไรที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

งาน

ครั้งแรกกับ Work from home

ใช่ครับนี่คือครั้งแรกที่เคยได้ทำงานจากที่บ้านแบบทางการ แต่จริงๆก็เคยปั่นงานตอนเสาร์อาทิตย์ ตอนกลับถึงบ้านแล้วก็เลยไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่ ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียปะปนกันไป ข้อดีคือไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าอาบน้ำไปทำงาน อันนี้คือตื่นตอนใกล้ๆเวลางานแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันทำงานเลย ไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง แต่สิ่งที่แลกมาก็เยอะอยู่เหมือนกัน ช่วงแรกมันก็สบายๆแต่หลังๆชีวิตมันจะเหมือนแบบอยู่หน้าคอมเกือบจะตลอดวัน มันหนักกว่าตอนไปทำงานอีก คือเราทำงาน นอน ตื่นมาทำงาน เหมือนไม่ได้พักเลย ซึ่งจริงๆมันเกิดจากนิสัยทำงานไปเรื่อยๆ จะเลิกก็ต่อเมื่อแบบดึกแล้วต้องกลับบ้าน หรือคนในบริษัทกลับหมดแล้วถึงจะเริ่มลุก แต่พออยู่บ้านจะทำยันเช้าก็ทำได้ กว่าจะเลิกนิสัยได้ก็ใช้เวลานานอยู่ ปัญหาต่อไปคือการอธิบายงาน คือสมัยก่อนเราอยู่ต่อหน้า อธิบายกันตรงๆ เขียนกระดาน วาดรูป แต่พอมาทำงานห่างกัน จะเขียนกระดานคุยกันก็ไม่ได้ ต้องมา share หน้าจอลากรูปซึ่งมันไม่ได้อย่างมือเขียนซึ่งก็ทำให้หงุดหงิด บางทีเราจะจับคีย์บอร์ดเขียน Show จับ Terminal เลย ก็ต้องเปลี่ยนมา Request control ซึ่งบางทีมันก็กระตุกๆไม่ทันใจ การแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนก็ทำลำบากขึ้น สมัยก่อนถ้าด่วนจริงคือเดินไปดูที่ Terminal ให้เขา Query ให้ดูตรงนั้น แต่อันนี้ต้องส่งไปให้ Query รอส่งผลลัพธ์มาให้ดู จะสื่อสารอะไรก็ลำบาก ก็ต้องปรับตัว แต่พอผ่านไปหลายๆรอบแล้วปรับตัวก็ดีขึ้นจนเริ่มปกติละ

ตำแหน่งเก่าหน้าที่ใหม่

หน้าที่การงานปีนี้ก็คงจะคล้ายๆกับปีที่แล้ว ยังคงเป็นโปรแกรมเมอร์เหมือนเดิม เพิ่มเติมคืองานลดลง ฮ่าๆๆๆๆ จริงๆหัวหน้าเขาช่วยกระจายงานไปให้คนที่เหมาะกับงานที่เราทำมากกว่า จากที่ต้องติดต่อกับมนุษย์ บวกกับปัญหาตรงๆ หัวหน้าให้เรามาอยู่ด้านหลังจริงๆ มีปัญหาแล้วเชิงเทคนิคมาแล้วค่อยมาถึงเรา หรือเวลามี Change มีอะไร ก็มีพี่คนอื่นไปรับมา ไปคุยไปสรุปว่าลูกค้าอยากได้อะไรมาก่อน แล้วเขาค่อยมาให้เราช่วยคิดช่วยออกความเห็น หาวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งแบบนี้มันก็ดีไปอย่างเพราะโดยนิสัยส่วนตัวนั้นไม่ชอบคุยกับมนุษย์อยู่แล้ว แต่ๆๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอกครับ เพราะในระยะยาวแล้ว อาชีพการงานของสายนี้สุดท้ายส่วนใหญ่มันก็จบที่ต้องไปพบปะผู้คน ต้องคุยกับคนให้เป็น คุยกับเขาเพื่อหาว่าปัญหาของเขาคืออะไร อะไรคือปัญหาจริงๆ ตอนนี้ผมเลยมีแค่สองทางเลือกใหญ่ๆคือ กลับไปอยู่จุดที่ต้องคุยกับมนุษย์ หรือจะไปสุด Specialist เลยซึ่งผมก็เลือกจะไปสาย Specialist ซึ่งในตลาดบ้านเราคงไม่ค่อยมีใครต้องการ Specialist แบบจริงๆจังหรอกครับ งานบ้านเราต้องการคนแบบที่คุยกับมนุษย์มากกว่า ซึ่งก็กลายเป็นความเสี่ยงกับหน้าที่การงานในอนาคตเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรครับ สำหรับผมการทำงานแล้วมีความสุขอาจจะตอบโจทย์มากกว่หน้าที่การงานในอนาคตและผมก็เชื่อว่าถ้าผมมีความสามารถพอ การจะหางานคงจะไม่ยาก เลวร้ายสุดก็สมัครเป็น Junior developer ใหม่อีกรอบแม่งเลย

มีพบมีจาก

ปีนี้มีคนเข้าออกเยอะอยู่ คนที่ออกไปก็น่าเสียดายเพราะเป็นคนมีความสามารถ มี Power ที่จะทำให้อะไรให้เปลี่ยนแปลงได้ แต่คนเป็นคนที่ใช่ที่อยู่ผิดเวลา อีกคนก็เด็กที่เทรนมากับมืออาจจะเป็นอาจารย์คนแรกในที่ทำงานของมันเลย เป็นคนเก่งมีความสามารถถึงจะกวนตีนไปหน่อยแต่ก็มีแววที่จะทำอะไรได้อีกเยอะ สุดท้ายก็ออกไปเพราะสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ได้ข่าวว่ามันไปได้ดี เราก็ดีใจก็ได้แต่หวังวิชาที่เคยสอน วิธีการออกแบบ วิธีการมองโลกแบบแง่ร้ายในการเขียน Code จะช่วยมันได้ ซึ่งผมก็เห็นว่าคนที่ออกจากบริษัทผมไปส่วนใหญ่ได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้น (ชักอยากออกบ้าง แต่พูดมาจะ 5 ปีละยังไม่ได้ออกสักที) ส่วนคนเข้ามาใหม่ก็เป็นคนมีฝีมือ แบบเตะเราออกแล้วเอามันมาทำงานแทนเราได้เลย คือแบบ เยส นี่แหละ คนที่บริษัทตามหามานานละ

งานอดิเรก

ทำ Page Facebook

อันนี้เห็นเพื่อนๆหลายคนทำ VLOG ลง Youtube ทำ Page เกี่ยวกับที่ตัวเองชอบลง Facebook ไอ้เราก็อยากลองทำบ้างจะได้รู้ว่าทำแล้วมันมีอะไรเล่นบ้าง เช่น ยอดคน กราฟ วิธีเพิ่มจำนวนคน พอดีกับตัวเองเขียน Blog นี้อยู่แล้วก็เลยทำมันซะเลยชื่อ Page Normal Programmer ซึ่งเพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเพราะไม่กดเชิญใครให้มา Like หรือติดตามเลยเพราะอยากจะให้อ่านหรือติดตามจริงๆซึ่งทำให้ 1 ปีผ่านไป มีคนกด Like แค่ 23 คน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ สำหรับใครที่หลงเข้ามาอยากอัพเดทเรื่องเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงกลางๆ ก็สามารถไปกด Like กดติดตามกันได้ครับ

ซื้อกีตาร์

ปีนี้ได้ซื้อของให้ตัวเองก็คือกีตาร์ ( ไม่รับรวม Photo set ของไอดอลนะ ) อันนี้คือสิ่งที่อยากได้ตอนอยู่มัธยม เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วเฮ้ยเจ๋งดีว่ะ อยากได้มาสักตัว เอามาเล่นเพลงการ์ตูนที่ตัวเองฟังตอนเด็ก อยากเล่นเพลง Last kiss ของ Orphen เพลง RADICAL DREAMERS ของ Chrono cross เพลง Friend ของ Houshin Engi อยากได้ แต่ก็ไม่ได้ซื้อเพราะไม่มีเงิน แล้วก็ถ้าซื้อมาก็ไม่มีที่เล่น เพราะเล่นแล้วมันส่งเสียงรบกวนบ้านข้างเคียง แต่ตอนนี้โตแล้วพอมีเงินก็เลยซื้อ ส่วนที่เล่นก็คือเล่นที่บริษัท รอเลิกงานคนกลับบ้านก็หยิบมาเล่น แต่ตอนนี้อย่างเศร้าโควิท-19 ต้อง Work from home ก็เลยอดหัดเล่นกีตาร์ไป

ตามไอดอล

เสียเงินเยอะขึ้น

ปีนี้ก็ยังตามไอดอลอยู่ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะน้อยลง แต่ไปๆมาๆเสียเงินเยอะกว่าเดิม ซึ่งจากสมัยก่อนจะถ่ายรูปอยากเดียว เดี๋ยวนี้เริ่มซื้อ Photo set แล้ว ซึ่งจริงๆก็มาตระหนักถึงเรื่องที่ว่า ถ้าไม่เสียเงิน ไม่จ่ายเงิน สนับสนุน วงเขาจะอยู่ได้อย่างไร แต่ก็ยังยึดอยู่บนหลักไม่มากจนเกินไป เอาแบบตัวเองไม่เดือดร้อน

ไอดอลที่ตามจำได้

อันนี้เป็นอะไรที่ประทับใจมาก คือปกติเป็นคนจืดจางชวนคุยไม่เก่ง ไม่มีเอกลักษณ์อะไรให้น่าจดจำ จนแบบไปถ่ายรูปกับน้อง 3 - 4 ครั้งละน้องยังจำไม่ได้เลย แต่มารอบนี้น้องดันจำเราได้ซะงั้น แบบเฮ้ย จำได้ไง จนได้มาคุยเลยรู้ว่าทำไมน้องจำได้ เลยยิ่งโดนตกไปอีก

ยุบวง

พอน้องที่ตามเริ่มจำเราได้ วงก็ประกาศยุบวงซะงั้น ฮ่าๆๆๆๆ เหมือนตอนนิโกะเลย ก็เศร้าๆนิดนึงเพราะวงนี้เขาดีจริง ผลิตเพลงดีๆมาหลายเพลง คือถ้ายังอยู่ต่อน่าจะมีเพลงดีๆอีกหลายเพลงให้ฟัง ไม่น่ายุบวงเลย

จิตใจ

ตามหาความหมายของชีวิต ชีวิตวัดค่าที่ตรงไหน

ปีนี้เป็นอีกปีที่มองหาความหมายของชีวิต จะอยู่ไปทำไม อยู่เพื่ออะไร อะไรคือความสุขของชีวิต มันเป็นคำถามที่มีแต่เราตอบได้ แต่เรากลับตอบไม่ได้ แบบ เรามีความสุขตอนไหนวะ ตอนเล่นเกมส์เหรอมันสุขแค่นิดเดียว สักพักมันก็หมดสุขละ การได้คุยกับไอดอลเหรอ อือก็สุขแต่พอหยุดคุยกับเขาก็หมดสุข พยายามจะอยู่กับปัจจุบันในทุกขณะก็ยังทำไม่ได้ ยังมีภาพจากอดีดที่อยากมีความสุข หรือ อะไรที่ไม่อยากทำโผล่มาคิดเสมอ เรื่องอนาคตที่อยากทำและไม่อยากให้ผิดพลาดเหมือนอดีต หรือจริงๆการพยายามอยู่กับปัจจุบันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมกับเรา ผมอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อสิทธารถะ เคยพูดไปหลายรอบมากเกี่ยวกับเล่มนี้ เพราะมันได้บอกเล่าการไล่ตามหาความสุข มันไม่ได้ตีกรอบว่าจะต้องอยู่กับปัจจุบัน จะต้องละทิ้งอะไร มันบอกเพียงแค่ว่า ความสุขของท่านท่านต้องค้นหามันด้วยตัวท่านเอง ซึ่งผมก็ลองทำตามหนังสือและตามหามันอยู่แล้วก็เริ่มเข้าใจด้วยว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งถึงดึงเอาวิธีมีความสุขของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเลย เพราะมันง่าย ไม่ต้องทดลอง ไม่ต้องวัดผลให้ยุ่งยาก เมื่อเทียบกับการตามหามันด้วยตัวเอง ตั้งกรอบขึ้นมาเอง วัดผลว่ามันสุขจริงไหม แล้วยิ่งทำมันก็ยิ่งเคว้งคว้างเพราะมันไม่เจอสักที

แยกไม่ออก

หลังจากเริ่มตามหาความหมายของชีวิตก็เลยต้องหัดตั้งคำถามมากขึ้น ได้ยิน ได้ฟัง อะไรมาก็เริ่มตั้งคำถามไปหมด คือจริงๆไอการตั้งคำถามเนี่ยใช้บ่อยตอนเรียน ตอนทำงาน เพราะ เฮ้ยมันทำงานยังไง มันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงไหม แต่ถ้านอกเรื่องพวกนี้จะไม่ค่อยตั้งคำถาม แต่พอมาปีนี้อะไรก็เป็นคำถามไปหมด แบบ เฮ้ย ไอที่เราเชื่อๆว่ามันดีตั้งแต่เด็กมันดีจริงหรือวะ ยกตัวอย่าง หาเหตุผลมาลองคิด บางอันก็แบบ ไอห่า “กูมันบ้า” เชื่อแบบนั้นทำแบบนั้นมาได้เป็น 10 - 20 ปี การตั้งคำถามมันสนุกตรงที่เวลาตั้งคำถามมันอาจจะได้คำตอบของบางคำถาม มันเหมือนแบบ เฮ้ย กูเข้าใจแล้วว่าทำไมเป็นแบบนั้น แต่การทำอะไรแบบนี้บ่อยๆมันเริ่มทำให้เส้นแยกระหว่างบางเรื่องของเราเปลี่ยนไป เราเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือไม่ดี เหมาะไม่เหมาะ ตอนนี้ทุกเรื่องมันกลายเป็น ณ สถานการณ์นั้น ด้วยความรู้และความเข้าใจเท่านั้น ทรัพยากรเท่านั้น เราจะเลือกทางใดด้วยตัวแปรอะไร เกือบจะทั้งหมดละ เราเริ่มไม่สามารถตัดสินอะไรเหมือนสมัยก่อนได้ละ แม่งแบบ “เออไอเหี้ยมันทำแบบนี้เพราะมันมีเหตุผลว่ะ” มันทำให้เราเข้าใจเขาแต่มันก็เจ็บปวดกว่าตรงที่เราเข้าใจแต่เราทำอะไรไม่ได้เนี่ยสิ มันเหี้ยกว่า บางทีการไม่เข้าใจมันยังแบบ “เออพวกมึงแม่งเหี้ย แม่งไม่มีสมอง ไม่มีเหตุผล” ยังดีซะกว่า

ใจคน

ปีนี้เป็นปีที่ได้รู้เกี่ยวกับใจคนมากขึ้น คนเราเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน มิตรภาพอาจจะมีราคาแค่ไม่กี่พันบาท ทำให้เห็นว่าความซื่อสัตย์มันสามารถวัดกันได้ด้วยเงิน เช่นกัน มิตรภาพอาจจะจบเพราะความเห็นซึ่งไม่ตรงกัน การที่ต่างคนต่างถือว่าตัวเองถูก ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรกับเรื่องนี้เพราะผมก็ถือว่าเรามองว่ามันถูกในมุมของแต่ละคน เรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่อง ต่างคนต่างมุมมอง ต่างคนต่างมีจุดยืน ผมจะไม่ยอมเสียจุดยืนแม้จะต้องเสียมิตรภาพก็ตาม การที่ผมจะเปลี่ยนจุดยืนได้ก็คงจะต้องมีเหตุผลมาหักล้างเท่านั้น

เพื่อน

ทุกครั้งเวลาคิดว่าเราอยู่ตัวคนเดียวบนโลก ไม่มีใครรับฟังเราได้เลย มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ผมนึกถึงไปเสมอคือ เพื่อน เพื่อนพวกนี้มีตั้งแต่เพื่อนสมัยประถม มัธยม อุดมศึกษา เวลาค่าสังคมมันถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็ได้คนกลุ่มนี้แหละ ที่มาเพิ่มมันให้อยู่ในระดับปกติ เวลาคุยกับคนพวกนี้มันเหมือนเราเอากำแพงบางอย่างลง เพราะมันคือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน ใช้ชีวิตมาด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง เห็นนิสัยกันมาในระดับหนึ่ง มันรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นไง ซึ่งก็รู้ความเหี้ยมาระดับนึง มันเข้าใจเรา ดังนั้นเวลาคุยมันไม่ต้องคอยกดบางอย่างให้ซ่อนไว้ เราคุยกับมันได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอคนกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่าไหร่ (หมายถึงนัดเจอกันแล้วมาเลยอะนะ) เพราะแค่ตอนนี้จะนัดกันทีก็ลำบาก บางคนมีแฟนแล้วก็ต้องแบ่งเวลาให้คนสำคัญก่อน (เห็น -ี ดีกว่าทีมเวิร์คหมดแหละบอกเลย) ไม่นานมันก็คงแต่งงานมีลูก แล้วก็ไม่มีเวลามานั่งกินบุฟเฟ่ห์คุยเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว

ไม่สมหวังอีกแล้วว่ะ

ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่กินแห้วอีกแล้ว จริงๆการจีบครั้งนี้คือใกล้จุดที่แบบจะไปเป็นแฟนได้ละ แต่สุดท้ายมาจบด้วยเหตุผลง่ายๆคืออีกฝ่ายคิดว่าเราเข้ากันไม่ได้ พี่แม่งคนดีคนละแบบกับน้อง อือ จริงๆมันก็มีอาการแล้วแหละ แต่เรารู้ช้าไปก็เลยไปเทใจไปให้เขาหมด ก็เลยจบที่เจ็บคนเดียว แต่รอบนี้ดีนะคือจบแล้วแม่งจบเลยจริงๆ ไม่มีแบบอยากกลับไปจีบใหม่ ไม่อาลัยอาวร คือ เออ จบแม่งไปละกัน ซึ่งต่างจากคนก่อนที่ผมเคยจีบคนแรก คนนี้คือผมยังบอกเสมอว่าถ้าวันไหนเปลี่ยนใจเราก็พร้อมจะไปจีบใหม่เสมอ

หาคนใหม่

จริงๆหลังจากไม่สมหวังกับคนเก่าก็หาคนจีบใหม่นะ ซึ่งก็เจอไว ซึ่งจริงๆก็ตรง Spec ทุกอย่างเลย ใส่แว่น น่ารัก แถมเป็นผู้หญิงที่โก๊ะด้วยซึ่งแบบเฮ้ยมันมีคนแบบนี้อยู่จริงๆบนโลกด้วยเหรอ คือคนแบบนี้เราจะเห็นในหนังรักเกาหลีแบบนางเอกซุ่มซ่าม ทำอะไรน่ารักๆ ใช้ชีวิตมา 20 กว่าปีไม่เคยเจอ ตอนนี้มาได้เจอคือแบบ while (true) { printf(“น่ารัก”); } แต่ก็ตามเคย คุณคิดว่าคนน่ารักแบบนี้จะไม่มีผู้ชายมาจีบเหรอครับ แล้วเขา Profile ก็ดีขนาดนั้น พอมานั่งคิดทบทวนอะไรหลายๆอย่างด้วยเหตุผลแล้ว “ไม่น่ารอด” สุดท้ายก็คงเก็บเป็นคนที่ชอบที่ไม่ได้จีบอีกหนึ่งคน คือได้เห็น ได้เจอก็น่าจะพอใจแล้ว

ปีหน้าทำอะไรดีล่ะ

ปีนี้จบไปเป้าหมายหลายๆอย่างก็ทำไม่ได้

  • จะอัพเดท Blog ทุกสัปดาห์ หาเรื่องมาเขียน มาเล่า ก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่
  • นิยายที่จะเขียนต่อให้จบก็ยังค้างอยู่ตอน 10
  • ออกกำลังกายกะแบบให้แข็งแรงจะได้อยู่ได้นานๆก็ไม่ได้ออก
  • จะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่าเดิมก็กลายเป็นระเบิดทุกอย่างไม่ต้องเก็บไป
  • อยากจะทำอะไรว้าวๆสักชิ้นก็ไม่ได้ทำ จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรที่ว้าว

ปีหน้าก็เลยอยากจะหาแรงจูงใจในการพยายามทำสักหน่อย ประมาณว่าทำได้ทั้งหมดแล้วจะได้รางวัลนี้เลยแบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องรอน้ำลายไหลแล้วค่อยซื้อ (คุ้นๆไหมล่ะ) ก็เลยเป็น Nintendo switch เลยละกัน อยากได้มานานละ ปีหน้าก็เลยจะทำเรื่องต่อไปนี้

  • เขียน Blog ให้บทความถึง 150
  • แปลเรื่อง Candide ให้จบ เคยอ่านแต่สรุปแต่อยากจะรู้ว่าจริงๆมันเลวร้ายขนาดไหน มันเป็นนิยายที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับศาสนาได้จริงๆเหรอ
  • แปลเรื่อง The Shunned house อันนี้อยากรู้ว่าที่คนยกย่องว่านิยายของ H. P. Lovecraft นั้นคือความน่ากลัวระดับสุดยอด ก็อยากจะรู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน มนุษย์จะไร้ทางสู้กับสิ่งไม่รู้ได้ขนาดไหน แล้วไอ้การที่สู้ไม่ได้เลยมันจะต่างอะไรกับการดูหนังจูออนที่ผีแม่งตามฆ่าแบบที่สู้ไม่ได้เลย
  • แปลเรื่อง The Dunwich Horror อันนี้เหตุผลเดียวกับข้อข้างบน ซึ่งเรื่องที่จะแปลอยู่ใน Public Domain ของสหรัฐแล้วคือใครจะหยิบไปอ่านไปแปลก็ได้
  • เขียนเรื่อง Design Relational Database อันนี้อยากทวนความรู้เก่าสมัยอยู่ตอน ปี 3 อยากรู้ว่าการที่ลืมไปเกือบหมดแล้วจะกลับไปเขียนใหม่ได้รึเปล่า
  • เล่นกีตาร์ให้เป็นสักเพลง อันนี้อยากเล่นได้จริงๆ เวลาเหงาๆเครียดๆจะได้หยิบมาเล่นแก้เครียดแก้เซ็ง หรือ ไปเล่นเปิดหมวกสักที่

ปีนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาเล่ามากมายเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ไปเปิดโลกทำอะไรใหม่ๆ เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยวต่างประเทศมีก็แต่ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทะเล ไปเที่ยวกับคนในบริษัทซึ่งกลายเป็นทริปนั่งอยู่ในบ้านเพราะฝนแม่งตกตลอดทั้งวัน ก็เลยมีแต่เรื่องส่วนตัวชวนสมเพช ปีนี้จะบอกว่าเป็นปีที่ดีไหม ถ้าพูดกันตามหลักเหตุผลก็ ความสามารถยังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ได้มีอะไรดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด (คนเมื่อ 5 ปีที่แล้วก็ความรู้ประมาณนี้แหละ) รายได้ที่อยากหาเพิ่มเพื่อจะได้เอาไปใช้ตอนลาออกหยุดอยู่บ้านสัก 10 - 20 ปีแล้วค่อยตายก็ยังไม่มี ความสุขในชีวิตก็ยังหาไม่เจอ ก็ถ้าวัดด้วยเรื่องพวกนี้ก็คงบอกได้ว่า “แย่” แต่ถ้าใช้แนวคิดทางจิตใจที่ใช้แค่คำว่า สิ่งใดเกิดขึ้นไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เราตัดสินอดีดจากอารมณ์ ณ ตอนนี้ เวลาเปลี่ยนไอ้สิ่งที่เรามองว่าแย่อาจจะเป็นเรื่องดี หรือ แย่กว่าเดิมก็ได้ ดังนั้น ปล่อยมันผ่านไป อยู่กับปัจจุบัน (ไม่ชอบทฤษฎีนี้เลยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ) ณ ตอนนี้เวลานี้ ทำสิ่งที่คิดว่าเหมาะว่าควรด้วยความรู้ สติปัญญา ประสบการณ์ กำลังทรัพย์ ที่มีน่าจะดีกว่า

สุดท้ายเรามาจบปีเก่าเริ่มปีใหม่ปีนี้ด้วยอะไรดี

สวัสดี (อย่างเห่ย) เอาเป็น รักเธอ (เชี่ยมีสาวที่ไหนให้รัก) งั้นเอาเป็น

หวัดดีเบล

เอออันนี้แหละดีสุดละในหลายๆความหมายซึ่งคงจะมีแต่เราที่เข้าใจ

เพลงที่ได้ฟังในปีนี้