ถึงน้องไอดอลที่ไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว

แปลกดีเหมือนกัน

ตอนเขียนเรื่องนี้ตอนแรกว่าจะไม่เขียนเพราะได้ระบายเรื่องนี้กับพี่ที่รู้จักคนนึงแล้ว แต่จริงๆก็พึ่งมารู้ไม่นานมานี้ตัวเองเป็นคิดวนไปวนมา เป็นคนที่สามารถคิดเรื่องเดิมๆหรือเรื่องอะไรที่มันติดในใจได้เป็นเดือน วิธีเดียวที่จะจัดการกับมันได้คือระบายกับใครสักคน หรือเขียนมันออกมาเป็นตัวอักษร ( คงเป็นโรคชนิดนึงผมเคยเห็นในเรื่อง CSI ) ก็เลยตัดสินใจเขียนมันขึ้นมา สำหรับคนที่หลงเข้ามานะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของผมเอง ไม่มีใครผิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจะมีผิดก็มีแต่ผมที่สภาพจิตใจไม่คงที่

ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก

เรื่องมันเริ่มจากการนั่งดู live น้องไอดอลคนนึงในวงที่ติดตามที่มาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเป็นไอดอลครั้งสุดท้ายก่อนที่เลิกเป็นไอดอลแล้ว ซึ่งเราก็เคยคุยกับน้องแค่ 2 นาทีตอนงานวันสุดท้าย จริงๆก็เคยเห็นน้องเขาในวงแต่ไม่เคยไปถ่ายรูปด้วยสักครั้งเลย ซึ่งไอที่คุยวันสุดท้ายอะก็ประทับใจเกี่ยวกับน้องเขานะ แบบได้รู้ว่าเออน้องเขาก็ไม่ได้ทำแค่ตำแหน่งนั้นนะ แต่งเพลงได้ เล่นโน่นนี่นั่นได้ แถมคุยกันเป็นกันเอง พอน้องเขาเริ่มเล่าเรื่องการเป็นไอดอลไปเรื่อยๆมีบางช่วงบางตอนที่น้องบอกว่าเขารู้สึกไม่ดีในการเป็นไอดอล ไม่ว่าจะรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองพยายามแล้วแต่ผลที่ได้รับนั้นไม่ดีเท่าไหร่เลยเลยพาให้น้องเขารู้สึกไม่ดี และอีกหลายๆเรื่องไม่ว่าการแสดงที่เขาแสดงเป็นวงนะ แต่ทำไมเวลาชมก็ชมบางคน หลงลืมคนอื่นในวง น้องเขาไม่ได้พูดแบบนี้หรอก แต่ผมเข้าใจว่ามันคือแบบนั้น “เออ เหี้ย แม่ง” พีคมาก ผมลืมจุดจุดนี้ไปเลย ผมลืมจริงๆ ผมไม่เคยนึกถึง คือ ผมพึ่งเคยตามไอดอล ถ้านับวงนี้คือวงที่สอง ผมไม่รู้อะไรเลย มันแค่บังเอิญไปเดินงานกับเพื่อนแล้วเจอไอดอลแสดง ก็เลย เอออยากคุยกับเขาอยากรู้จักกับเขาก็เลยเริ่มที่ตรงนั้น แล้วก็มาคุยกับเพื่อนว่าเออวงการนี้มันยังไง เพื่อนก็บอกว่าอยากคุยกับใครก็จ่ายเงินไปคุยกับคนนั้น ก็เลยแบบเออชอบใครก็คุยกับคนนั้น ประกอบกับเราก็ไม่มีเงินเยอะ จริงๆมันก็ข้ออ้างแหละ คือถ้าจะจ่ายก็จ่ายได้แหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอจะจ่ายมันจะต้องมีเสียงจากสมองออกมาว่า “มึงจะเสียเงินเยอะไม่ได้นะ” ต้องเก็บเงินเผื่อโน่นนี่นั่น ซึ่งจริงๆแม่งมีเก็บเยอะอยู่ระดับนึง คงเป็นนิสัยที่ถูกสอนมาว่าหัดอดออม รอน้ำลายไหลค่อยจ่าย (แม่งยังพอจำเนื้อเรื่องได้อยู่เลย) จนบางครั้งไอ้คติเนี่ยมันทำให้รู้สึกเสียใจในหลายๆรอบซึ่งครั้งนี้ก็ทำให้ผมเสียใจเหมือนกัน พอมามองมุมนี้แล้วแบบ เออ…. มันรู้สึกแย่ว่ะ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับทุกคนในวงจริงๆ แล้วพอเริ่มคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด เราลองคิดว่าเป็นเราดิ คือเราเป็นคนเขียน Code นะ เขียนโปรแกรมหลายโปรแกรมให้หลายคนใช้ แต่คนใช้ไม่เคยแม้แต่จะขอบคุณโปรแกรมเราเลย ไม่เคยรู้ชื่อเราเลยด้วยซ้ำ พอมาคิดมันก็น้อยใจนะ แต่เราก็ยึดว่าเราทำงาน Backend แล้วเราก็ไม่ชอบเจอมนุษย์ก็เลยเออช่างแม่งไม่รู้สึกอะไร แต่กับน้อง น้องเขาเป็นนักดนตรี ทำงานเบื้องหน้า แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญเขาในแบบที่เราควรจะทำ แล้วน้องเขาเล่าว่าเขารู้สึกแย่แค่ไหน แม่งยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดไปอีก คือจริงๆถ้ามันไม่คิดก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่พอคิดมันก็คิดยาวๆ เชี่ยแม่ง Fail Fail แบบรู้สึกผิด แบบเป็นความรู้สึกใหม่จริงๆ ไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อน คือปกติเวลามีเรื่องพวกนี้ผมแม่งจะบอกว่า “โถ คนเรามันพูดอะไรก็ได้เว้ย” เพราะผมเคยเจออะไรแบบนี้ตอนทำงานแม่งเลยสะสมแล้วสร้างเป็นโล่ป้องกันตัวเองแบบนี้ขึ้นมา แต่พอได้คุยกับน้องเขาถึงจะ 2 นาทีก็เถอะ แต่แม่งคือ 2 นาทีแบบคนที่แสดงความรู้สึกจริงๆอะ แล้วเรารู้ได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ พอมาดู Live แล้วน้องพูดก็แบบมันไม่ได้ปรุงแต่ง แล้วคือรู้เลยว่าน้องเขาคง Fail ในช่วงระยะเวลานึงเลยแหละ พอคิดแล้วก็ภาพในงานวันแรกที่เจอวงนั้นได้ย้อนกลับมาคือ แม่งจะซื้อบัตรกี่ใบดี เอออยากถ่ายสักสองคนแต่สุดท้ายซื้อมา 3 ใบ เชี่ยแค่นี้มึงก็แย่แล้วป่ะ ทำไม ทำไมมึงไม่ซื้อ 6 ใบวะ ถึงมึงไม่ซื้อมึงก็ไปไปคุยกับเขาทุกคนได้รึเปล่าวะ เชี่ยที่มึงชอบวงนี้เพราะเขาเล่นดนตรีดี ไปดูไปฟังแล้วสนุก แต่มึงไม่ได้เคยชมเขาเลยจนงานวันสุดท้าย คือแบบ “เชี่ย เชี่ย เชี่ย” มันคือความรู้ผิดจริงๆ

แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วแหละ มันผ่านไปแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง มันคงเป็นบทเรียนล่ะมั้ง มันเป็นมุมมองมุมใหม่ที่ผมไม่รู้ และตอนนี้ผมได้รู้แล้ว แต่มันจะเป็นไงต่อ ตอนนี้ผมก็ยังคิดๆอยู่เลยว่าเราจะแสดงความรู้สึกแบบนี้ให้กับวงดนตรีที่เราไปฟังหรือการแสดงที่เราไปดูได้ยังไง ถ้าเป็นสมัยไปดูละครเวทีที่จุฬา ผมจะเขียนยาวๆใน Comment ทุกครั้งบอกว่าชอบส่วนไหน ไม่ชอบส่วนไหน หลังจบการแสดง แต่อันนี้คือวงดนตรี ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีบัตรแสดงความคิดเห็นไหม จะไปพูดไปคุยเราก็เป็นพวกไม่คุยกับใครก่อนอยู่แล้วด้วย พอมายิ่งคิดยิ่งสับสน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังไง จะเลิกตามไอดอลเลยไหมเพราะไหนๆวงที่ตามก็หมดแล้ว พอไม่ไปสัมผัสอะไรแบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องคิดอะไรแบบนี้อีก แต่มันก็เป็นวิธีที่ไม่ถูกอะนะ ไม่รู้สิความรู้สึกตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมด

แต่อย่างน้อยก็ได้เขียนถึงตรงนี้อะนะ ถ้าโชคดี น้องคนที่ผมพูดถึงคงได้มาอ่าน ก็อยากบอกน้องเขาว่า “น้องเล่นดนตรีได้ดีจริงๆนะ เพลงที่น้องแต่งก็เพราะ ถึงพี่จะไม่มีเซนต์ด้านดนตรีแต่ฟังแล้วมันเพราะจริงๆ พี่ขอโทษที่ผ่านๆมาไม่เคยไปพูดคุย ชม อะไรเลย คงได้ชมแค่ครั้งเดียวก็ตอนงานวันสุดท้ายครั้งนั้น ก็ขอให้น้องประสบความสำเร็จกับเส้นทางที่น้องเลือก เรื่องเรียนก็ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี ได้เกรด A” ก็คงจะเขียนได้เท่านี้แหละ แต่ก็อย่างที่น้องบอกแหละ “คงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกันอีกแล้วอะนะ” เพราะประเทศไทยมันก็หลายล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งนั่นก็จริงแหละ แล้วที่เขียนเนี่ยมันก็เว็บนึงในหลายพันล้านเว็บบนโลก คงไม่มีทางแน่นอนที่น้องเขาจะมาอ่านอะนะ

ก็จบแล้วไม่มีอะไรมาก ก็แค่คนบ้าๆคนนึงเขียนระบายความรู้สึกแปลกๆที่ตัวเองได้เจอเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกที่ไม่เคยเจอนี้ สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอให้คิดว่ามาร่วมแชร์ประสบการณ์กันละกัน