The Woman In Black

1 ปีแล้วสินะ

ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านไป 1 ปีแล้วตั้งแต่ผมได้ไปดูละครเวทีที่จุฬาเรื่องแรก ซึ่งเรื่องแรกที่ผมไปดูคือ “เจ้าสาวรอฤกษ์” และหลังจากนั้นก็ไปดูเกือบทุกครั้งที่มีโอกาสที่สามารถไปดูได้ ซึ่งก็มีทั้งเรื่องที่ดูแล้วประทับใจ บางเรื่องก็ไม่เข้าใจจนอยากจะเดินออกจากโรงก็มี ก็ต้องขอบคุณหลายๆเหตุการณ์ที่ทำให้มีโอกาสมาดู

วิ่งไปดู

เนื่องจากวันที่ไปดูเกิดปัญหาเกี่ยวกับงานเลยอยู่ช่วยเพื่อนเผื่อจะช่วยแก้อะไรได้บ้าง พอดูนาฬืกาแล้วเป็นเวลา 18.25 น. เลยต้องรีบวิ่งไปที่โรงละครทันทีเพราะต้องไปก่อน 18.45 ไม่งั้นจะบัตรอาจจะถูกยกเลิก บอกเลยว่าการวิ่งแบกคอมหนัก 4 กิโลกรัมนี่เป็นเรื่องที่เหนื่อยมากๆ ด้วยความพยายามก็ไปถึงหน้าโรงละครประมาณ 18.43 น. แหม่ฉิวเฉียด

ละครเวทีแนวสยองขวัญ

คือคำโปรยของละครเรื่องนี้บอกว่า คนที่ไม่ใช่นักแสดงพยายามที่จะเป็นนักแสดงเพื่อเปิดเผยความจริงบางอย่าง คือพอเราอ่านเราก็ตีความว่าคงจะเป็นแนวติสๆหน่อยล่ะมั้ง ซึ่งพอละครเริ่มเราก็อืมแม่งติสแน่นอนคือ มีตัวละครสองคนกำลังซ้อมเล่นละครเวทีโดยคนแก่คนหนึ่งเป็นคนจ้างให้นักแสดงอีกคนสอนเขาเล่นละครเวทีตามบทที่เขาเขียน คือจริงๆจะเรียกว่า ละครเวทีซ้อนละครเวทีก็ได้นะ เพราะเรากำลังดูละครเวทีที่เนื้อเรื่องเป็นคนที่กำลังแสดงละครเวทีตามบทบทหนึ่ง ตอนแรกนี่เนือยมากแบบสองคนกำลังโต้กันเรื่องจะแสดงให้สมจริงกับแสดงๆไปเถอะ แต่พอผ่านจุดเริ่มเรื่องไปถึงจุดที่สองคนเริ่มแสดงละครเวทีเท่านั้นแหละความน่าดูมันพุ่งขึ้นสูงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นปริศนาของตาลุงว่าบทละครของตาลุงนี่คืออะไร ต้นสายปลายเหตุต่างๆ ตัวละครทิ้งปมให้เราสงสัยแบบเฮ้ยทำไมวะ แล้วค่อยๆเผยทีละเล็กทีละน้อย บวกกับการแสดงของนักแสดงทั้งสองคนที่สุดยอดมากๆ (เอาจริงๆผมว่าเขาเล่นเก่งกว่านักแสดงในทีวีอีกนะ) และด้วยความที่มันเป็นละครเวทีที่เขาเล่นแสงสีเสียงกับคนดูได้เต็มที่มันเลยยิ่งให้เข้าถึงอารมณ์ได้อีก แบบปิดไฟทั้งโรงละครเหลือไฟไว้แค่ตรงนักแสดงที่กำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งมันทำให้เราเข้าใจเลยว่า เฮ้ยนี่แหละการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น เราไม่รู้ว่าอะไรอยู่ในความมืด เรากำลังสู้กับอะไรกันแน่ อะไรจะโผล่ออกมา ตอนไหน เมื่อไหร่ มันทำให้กลัวได้ถึงขีดสุดจริงๆ (ยังกลัวเลยว่าเขาจะเล่นกับคนดูแบบเอาผีโผล่มากลางที่นั่งอยู่เลย) ที่เด็ดสุดของเรื่องนี้คือตอนจบของเรื่องคือเป็นการจบที่เล่นเอาขนลุกขึ้นมาเลย แบบมันน่ากลัวกว่าตอนปิดไฟ ตอนผีมา แต่เป็นแค่เสียงกับสีหน้าของนักแสดงทั้งสองคนกับเรื่องเหลือเชื่อ

10 เต็ม 10

สำหรับเรื่องนี้สำหรับผมโปรแกรมเมอร์ที่เป็นคนทั่วไปไม่ได้เสพงานศิลป์อะไรแบบ Advance (ตัวแทนคนนอกแบบ 100 เปอร์เซ็น) ผมให้ 10 เต็ม 10 เลย (อยากจะหักคะแนนช่วงแรก แต่มันเป็นการปูเรื่องเลยหักไม่ลง) เพราะมันสนุกและลุ้นระทึกมาก แถมนักแสดงเล่นได้แบบเชื่อจริงๆว่ามันเป็นแบบนั้น

เสวนาหลังการแสดง

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วม เสวนาหลังการแสดง จริงๆก็เกร็งอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้มันเป็นยังไงจะเจออะไร แต่ก็อยากลองดูเลยอยู่ดึกต่ออีกสักนิดเผื่อจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น ซึ่งเสวนาหลังการแสดงคือการถามตอบกับนักแสดงและทีมงานซึ่งผมว่าโอเคเลยนะ จริงๆถ้าเจอละครเวทีติสส์ๆเนี่ยควรจะมาดูวันที่มีเสวนาการแสดง ซึ่งโปรแกรมเมอร์หน้าหมาก็มีถามหลายเรื่องที่ตัวเองสงสัยตั้งแต่เริ่มดูละครเวทีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ เขาปิดไฟทั้งโรงละครแต่นักแสดงสามารถเดินไปตำแหน่งต่างๆของเวทีได้ ตอนแรกเข้าใจว่าเขามีมาร์คจุดเรืองแสง หรือใช้เทคโนโลยีอะไร แต่คำตอบที่ได้นั้นง่ายและพื้นฐานมากๆคือ เขาฝึกซ้อมแล้วก็ตกลงกับทีมงานว่าจะให้ไปตรงไหน เขาบอกว่าแรกๆก็เดินชนกระจุยกระจายหลังๆก็สามารถเดินได้แบบที่เห็นในการแสดง จากนั้นก็มีหลายคนถามเรื่องเทคนิคทางการแสดงต่างๆ หรือ การตีความการกระทำต่างๆของตัวละครว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ จริงๆผมว่าพวกละครติสส์น่าจะทำอะไรแบบนี้แล้วอัดเอามาใส่เป็น EASTER EGG หรือแนบท้าย DVD เหมือนกันเพราะคนดูธรรมดาจะได้เข้าใจสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ

สำหรับคนอยากดู Version ภาพยนตร์

เรื่องนี้มีทำเป็นแบบภาพยนตร์ไว้หลายเวอร์ชัน เวอร์ชันล่าสุดคนที่แสดงเป็นแฮรี่แสดงด้วยนะ

First fan meeting Siam dream

ไปดีไหมวะ

ไปดีไหมวะเป็นคำถามแรกที่เห็นว่ามีบัตรงาน Fan meeting ของวง Siam dream ซึ่งเรารู้แค่ว่าได้กินข้าวแล้วก็ได้คุยกับไอดอล ประเด็นคือไปคนเดียวแล้วจะทำตัวยังไงวะ คืองานอื่นๆเช่นงานคอนเสิร์ตเราก็แค่เดินตามเขาไปยืนดู งานสัมนาวิชาการก็เหมือนกันเราแค่เดินเข้าไปฟังไม่ต้องมีการตอบสนองอะไรมาก อย่างมากก็ตอบถามคำถามในฟิลล์งานที่เราถนัด แต่พอมาเป็นงานแบบนี้จะทำไงวะ เข้างานยังไง นั่งตรงไหน แล้วมันต้องทำอะไรบ้าง ตอนนั้นก็เลยลังเลไปดีไม่ไปดีว้า จริงๆจะหนักไปข้างไม่ไปด้วยเพราะด้วยราคาที่เยอะกว่าตอนถ่าย cheki ถึง 5 เท่า แต่อีกใจก็อยากไปอยากรู้ว่าเขามีกิจกรรมอะไรกัน อยากจะรู้ว่าโลกของคนที่ตามวงไอดอลนี้เป็นยังไง

จะไปไหม

ก่อนวันงานคอนเสิร์ตวันนึง (บัตร meeting ต้องอยู่ในงานถึงคอนเสิร์ตถึงจะซื้อได้) เพื่อนในวงการก็ทักมาว่าจะไปงาน meeting ไหม เดี๋ยวเราฝากน้องๆพี่ๆที่รู้จักให้นั่งด้วย ตอนนั้นก็ดีใจ(เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง) พอวันงานก็เลยซื้อบัตร meeting เลย จริงๆก็เสียวเหมือนกันนะเพราะออกมาจากงานช้ากว่าจะได้ซื้อบัตรก็ล่อคิวไป 43 เข้าไปละ (งานนนี้จำกัดแค่ 50 ใบ)

เข้างาน

พอจะเข้าไปในงานนี่ก็เครียดเหมือนกันนะเพราะต้องไปที่ที่ไม่เคยไป ไปอยู่ในสถาการณ์ที่เราไม่รู้คุ้นเคย (คนจำนวนหนึ่งรวมถึงผมกลัวสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้จึงเลือกจะเป็นเหมือนเดิมทั้งที่ทุกวันร้องอยากจะเปลี่ยนแปลง) แต่พอไปถึงก็ไม่มีไรมากแลกบัตรเข้างานแล้วก็หาที่นั่ง โชคดีที่น้องๆของเพื่อนที่อยู่ในวงการอยู่ในงานแล้วจึงเรียกเราไปนั่ง ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าน้องคนนึงเรียนทำวิดีโอ อีกคนเรียนเขียนเพลง ฟังแล้วก็ทึ่งกับน้องๆนะแบบโฮ่น้องๆเขาเก่งกันจัง

กิจกรรมและบรรยากาศในงาน

บรรยากาศในงานก็เป็นกันเองดีครับ เหมือนคนที่ชอบอะไรเหมือนกันมางานเดียวกันบรรยากาศก็เลยดูสนุก แต่สำหรับโปรแกรมเมอร์ที่มาจากอีกโลกก็จะงงๆนิดนึง กิจกรรมที่ทำในงานก็คือนั่งกินข้าวและพูดคุยกับ Member แต่ละคน คือเขาจะแบ่งที่นั่งเป็นโต๊ะๆ แล้วก็ให้ Member นั่งที่แต่ละโต๊ะ จากนั้นก็ให้เวลา 10 นาทีให้เราคุยกับ Member คนนั้นพอครบ 10 นาที พอครบ 10 นาทีก็เปลี่ยนให้ Member ไปนั่งโต๊ะต่อไป ทำไปเรื่อยๆจน Member วนครบทุกโต๊ะ ซึ่งผมว่าเหมาะกับคนที่อยากกับคนที่อยากคุยกับน้องคือมันได้คุยเยอะจริงๆนะถ้ามีเรื่องที่อยากคุย แถมคุณจะได้เห็นอิริยาบถต่างๆของน้องเขาไม่ว่าจะเป็นท่าทาง การพูด วิธีการโต้ตอบ ต่างๆนาๆ ส่วนกิจกรรมอื่นๆก็แล้วแต่งานนั้นเลยว่าจะทำอะไร (อันนี้เพื่อนในวงการบอกมา) ส่วนสุดท้ายก็เป็นขายของของวง

ประทับใจ

ในงานนี้ที่ประทับใจคือได้คุยกับนิโกะ(น้องแว่น) ซึ่งถึงจะคุยไม่รู้เรื่องแต่ก็รู้สึกดีที่ได้คุยกับน้องนะ สุดท้ายตอนน้องจะไปน้องมีสบตาด้วย พอตอนไป cheki กับน้องเขาเหมือนน้องจะจำเราได้นะ แต่ใจนึงก็แอบคิดว่าคิดไปเองแหละน้องจะมาจำเราได้ไง มีอีกตั้งหลายคน

มางานนี้แล้วได้อะไร

มางานนี้ทำให้เห็นอะไรและรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้เห็นไอดอลในมุมที่เราไม่ได้เห็นบนเวที คือบนเวทีน้องเขาได้พูดน้อยมากนะเพราะคิวการแสดงในงาน แต่พอมางานนี้เจอน้องในมุมแบบที่เป็นกันเองมากขึ้น น้องบางคนแบบเฮ้ยตอนเห็นในงานว่าฮาแล้ว พอได้คุยแล้วนี่ยิ่งฮามากกว่าที่คิดไว้อีก ได้เห็นคนอื่นๆในงานได้เห็นว่าเขารักไอดอลของพวกเขามากแค่ไหน

เพลงประกอบการเขียน Blog

เพลงใหม่ของวง เพลงนี้ออกแนวเซ็กซี่ ตอนไปถ่าย cheki กับ Nico น้องถามด้วยว่าเพลงนี้น้องเขาดูเซ็กซี่ไหม

ปรัชญาชีวิต - The Prophet

หาหนังสืออ่าน

ปรัชญาชีวิต - The Prophet

หลังจากรัฐบาลมีนโยบายซื้อของช่วยชาติแล้วเอาไปลดหย่อนภาษีได้ โดยปีนี้สินค้าที่ลดหย่อนได้คือหนังสือ ซึ่งเข้าทางกับช่วงนี้ที่อยากหาหนังสือมาอ่านพอดี แต่ปัญหาคือยังไม่มีหนังสือที่จะซื้อเลย หลังจาก Search ที่ควรอ่านก็พบชื่อหนังสือเล่มนึงชื่อ “ปรัชญาชีวิต” เฮ้ยชื่อหนังสือแบบนี้ต้องซื้อมาอ่านแล้วแหละ

เอาจริงดิ

พอเริ่มเปิดอ่านพวกคำนิยมสำนักพิมพ์ คำนิยมผู้แปลแล้วแบบ โห หนังสือเก่ามากคือคนเขียนนี่เขียนตั้งแต่เรายังไม่เกิด คนแปลเอามาแปลเราก็ยังไม่เกิด พอเริ่มอ่านนี่ช็อกเลยนะ สำนวนนี่เบบ เฮ้ย มีคนเคยเขียนบรรยายแบบนี้ด้วยเหรอ แบบสำนวนมันไม่ใช่แบบสมัยใหม่อะ มันเป็นสำนวนแบบที่ไม่เคยเห็นในหนังสือที่เราเคยอ่าน (อยากรู้แบบไหนให้ไปหามาอ่านดู) ที่ตกใจกว่าคือคำว่า คน คือ เขาเขียนแบบ ฅน ใช่ครับใช้ ฅ. คน ที่ตอนนี้มันอยู่ตรงไหนของคีย์บอร์ดยังต้องก้มลงไปดู (ถ้าเจอ ฃ.ขวด ด้วยนี่คงทึ่งไปอีก) อันนี้เลยน่าจะเป็นเครื่องการันตีว่ามันเก่าได้แค่ไหน

ไม่ใช่หนังสือหลักธรรมของศาสนาใด

ตอนแรกเข้าใจว่ามันเป็นหนังสือหลักธรรมที่ว่าเป็นข้อๆบอกว่าเราควรทำอะไรแบบไหน จริงๆคิดว่าเป็นหนังสือของศาสนาคริสต์ด้วยซ้ำเพราะชื่อหนังสือคือ The Prophet แต่พออ่านจริงๆนี่เป็นคล้ายๆนิยาย เล่าเรื่องผ่าน ชายคนหนึ่งซึ่งผมเข้าใจว่าเขาติดอยู่ที่เมืองๆหนึ่งไปไหนไม่ได้รอคอยการมาถึงของเรือเพื่อจะได้พาเขาเดินทางไปยังบ้านเกิดหรือที่ที่เขาต้องการไป ซึ่งเริ่มต้นเรื่องคือเรือที่เขาเฝ้าคอยมาที่เมืองแล้ว การรอคอยอันนานแสนนานของชายคนนั้นจบลงเขาจึงจะเดินทางไปกับเรือ แต่เหมือนชายคนนี้จะเหมือนผู้มีความรู้ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมือง พอแกจะไปชาวเมืองเลยมารวมตัวกันเพื่อจะลาแก โดยก่อนไปชาวเมืองอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆในชีวิตว่ามันคืออะไร แล้วอยากจะให้ชายผู้เป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเขาอธิบายให้พวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ไม่เจอกันอีก ซึ่งหนังสือจะเล่าเรื่องเป็นการตอบคำถามว่าสิ่งนี้คืออะไร เช่น บุตร คืออะไร ศาสนา คืออะไร กฏหมายคืออะไร ความโศกคืออะไร และอีกหลายๆอย่าง

เข้าใจและไม่เข้าใจ

ด้วยหนังสือเป็นหนังสือที่เก่ามากและถูกแปลเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งถ้าจำไม่ผิดในหนังสือเขียนว่าเล่มที่ผมซื้อมาเนี่ยเป็นเล่มที่ตีพิมพ์ฉลองครบรอบ 50 ปี หลังจากการตีพิมพ์หรือแปลเป็นไทยครั้งแรก สำนวนหรือภาษาจึงค่อนข้างอ่านยาก ซึ่งเป็นเพราะผมเกิดคนละสมัยกับตอนที่แปลจึงไม่เข้าใจสำนวน แต่บอกเลยว่า สำนวนพวกนี้มีเสน่ห์เอามากๆ ในหลายตอนนั้นตอบคำถามได้ดีมาก เช่น เรื่อง บุตร คืออะไร หนังสือตอบได้อย่างดีประมาณว่า บุตรของเธอไม่ใช่ของเธอ เขาแค่มาทางเธอ แต่เธอไม่ได้เป็นเจ้าของเขา เธออาจให้ความรักเขาได้ แต่เธอจะไปกำหนดความคิดความอ่านของเขาไม่ได้ เพราะเขาจะต้องมีความคิดความอ่านของเขาเอง คือ แค่ตอนนี้นี่ตอบคำถามสิ่งที่ผู้ใหญ่หรือเด็กเฝ้าถามมาได้อย่างงดงาม ไม่ได้มีการว่าร้ายใคร แต่แค่บอกความจริงและมันเป็นความจริง หรือ จะเป็นเรื่องความโศก ความทุกข์ หนังสือก็พูดมันได้อย่างดีว่า ความโศกก็เกิดจากเราไม่ได้สิ่งที่เราเคยสุข เวลาเราสุขก็มาจากเราไม่ต้องไปอยู่สถานะที่เราเศร้าโศก ซึ่งนั่นแปลว่าเราสุขเพราะทุกข์ เราทุกข์เพราะสุข ทั้งสองมีค่าเท่ากันเปรียบเหมือนตาชั่ง คนที่หลุดพ้นมันได้คือคนที่เข้าใจมันคือตาชั่ง โห นี่มันแนวทางของสายพุทธ สายเต๋า เลยนะ หรือ จะเป็นเรื่องอิสรภาพก็เช่นกัน เล่มนี้พูดคล้ายๆกับ OSHO พูดเลย ว่าการเฝ้าใฝ่หาอิสรภาพนั้นมันก็คือโซ่พันธนาการเรานั่นเอง แต่ในหลายๆส่วนก็อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน คงอาจเป็นเพราะเรายังแกะความหมายที่แฝงอยู่ในแต่ละคำได้ไม่พอ ยังเชื่อมโยงระหว่างประโยคและการเปรียบเทียบได้ไม่ดีพอ ซึ่งผมก็หวังว่าถ้ากลับมาอ่านอีกในภายหลังคงจะเข้าใจมากกว่านี้

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับเล่มนี้อ่านแล้วได้เข้าใจอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับโลกในมุมมองใหม่และวิธีอธิบายแบบใหม่ หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจว่าการอธิบายแบบสวยงามนั้นทำให้เข้าใจง่ายและทำให้จำได้นาน เพราะเราประทับใจมัน สำหรับใครที่ว่างๆไม่มีอะไรอ่าน หรือ ใครที่ใช้ชีวิตมานานแล้วยังต้องการหาคำตอบของหลายๆสิ่งในชีวิตในมุมมองใหม่ๆ ผมก็แนะนำหนังสือเล่มนี้เลยครับ เล่มเล็กไม่ใหญ่ อ่านสบายๆ ราคาประมาณ 295 บาท

เพลงประกอบการเขียนบทความนี้

เพลงไม่ได้เกี่ยวกับหนังสือนะครับ แค่ช่วงนี้ติดตาม Idol : Siam dream เลยไปหาเพลงของน้องๆเขาฟัง

Cheki ครั้งแรก

วันศุกร์ใครไปงาน Japan Expo บ้าง

คำถามนี้ถูกถามขึ้นมาในกลุ่มเพื่อนโปรแกรมเมอร์ซึ่งในตอนนั้นผมก็กะไปด้วยเพราะถือว่าไปเจอเพื่อนแล้วลองไปดูว่าในงานมันมีอะไรบ้าง แล้วก็ถ้าโชคดีคงได้ไปดูวงไอดอล SiamDream ซึ่งน้องๆเพื่อนๆแชร์กันมาให้ดูเลยอยากจะไปดูตัวจริงเสียเลย แต่ด้วยความโชคร้ายเพราะระบบมีปัญหาและต้องหาสาเหตุและแก้ไขทำให้ไม่สามารถไปได้ เลยอดไปถ่ายรูปกับเพื่อน พอกลับบ้านมาเพื่อนท่านนึงก็ขิงด้วยรูปที่ถ่ายกับน้องนี่ยิ่งรู้สึกแบบ “โอยเสียดายโว้ย”

ใครจะไปงาน Japan Expo บ้าง

คำถามนี้ถูกถามอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ระหว่างเคลียงานที่แสนน่าเบื่อหน่ายที่เป็นผลพวงมาจากวันศุกร์ ตอนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่ามันมีเสาร์อาทิตย์ด้วยนี่หว่า มองดูนาฬิกา (อยากโทรหาเธอคุยกันอย่างเคย) ก็ประมาณบ่ายกว่าๆซึ่งน่าจะไม่ทันละเพราะงานที่ต้องเคลียมีอีกเยอะเลยขอเพื่อนว่าเป็นวันอาทิตย์ละกันซึ่งเพื่อนแสนดีก็ตกลง หลังจากนั้นก็เริ่มกระบวนการปั่นงานเพื่อให้วันอาทิตย์ไม่ต้องเคลียงาน (โดยปกติผมจะเผื่อเวลาวันอาทิตย์ไว้เคลียงานที่ไม่คาดฝันกับเขียน Blog หรือ ลองอะไรใหม่ๆ)

งาน Japan Expo

ถึงเวลานัดก็ไปเจอเพื่อนที่งานก็ต้องบอกก่อนเลยว่านี่ก็เป็นครั้งแรกในการมางานนี้คือจริงๆเห็นประกาศจัดงานนี้ตั้งแต่เริ่มงานใหม่ๆ แต่ช่วงนั้นไม่ค่อยมีเวลาเพราะงานเยอะบวกกับเรียนปริญญาโทเลยไม่ได้ไป ช่วงนี้เริ่มว่างเริ่มอิสระระดับหนึ่งเลยได้มา พอมาถึงงานก็เอ๋อเลยแบบเราได้เห็นคนแต่งคอสเพย์เดินในงานถือเป็นความรู้สึกใหม่ที่เพิ่งได้เจอ เห็นน้องบางคน (หรือพี่ไม่แน่ใจแต่หน้าเด็กมาก) ทำปีกนางฟ้าแบบโหสุดยอดมาก หลังจากนั้นไม่นานก็ให้เพื่อนผู้อยู่ในวงการเดินชมงาน ซึงเราได้เห็นอะไรแปลกใหม่มากมายไมว่าจะเป็น การถ่ายรูปกับไอดอลเขาเรียกว่า cheki ตอนแรกได้ยินเป็น zenki (แก่หน่อยจะรู้จักนะ) หรือถ่ายคลิปวิดีโอให้ไอดอลพูดอะไรก็ได้ไป 30 วินาทีไรงี้ ซึ่งแบบเอาจริงดิเขาก็เข้าใจทำอะไรแบบนี้มาขายนะ จากนั้นไม่นานเพื่อนก็เดินแนะนำงานไปเรื่อยๆ จนมาเจอน้องๆใส่ชุดเครื่องแบบสีฟ้าเลยหันไปถามเพื่อนว่า “เฮ้ยนี่เขาคอสเพย์อะไร” แต่เพื่อนตอบว่า “นั่นไอดอลญี่ปุ่นนะ” ตอนนั้นนี่ช็อกเลย “เฮ้ยจริงดิระดับไอดอลนะ” จากนั้นเพื่อนผู้เชี่ยวชาญก็อธิบายให้ฟังว่าที่ญี่ปุ่นมันมีเยอะมากเลย พอเขามาไทยคนไทยแทบจะไม่รู้จักเลยดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเดินแบบธรรมดาแบบนั้น

Jikkendojo && Fleramo[Orion]

พอใกล้เวลาแสดงของวง Siam dream ผมกับเพื่อนได้เดินมาที่เวทีเพื่อจะได้ไม่ต้องไปแย่งที่ใกล้เวที ซึ่งพอไปถึงก็มีการแสดงอยู่ก่อนแล้วซึ่งก็คือวง Jikkendojo คือพอไปถึงเขากำลังเต้นแบบ โอ้ เฮ้ย เอาจริงดิ มีเล่นกับคนดู มี Challenge ประหลาดๆเล่นกันบนเวที ซึ่งเขาเต้นกับแบบสนุกจริงๆ คือมองตาแล้วรู้เลยว่าเฮ้ยเขาอยากมาจริง อยากเต้นจริงๆ แล้วเขาเต้นกันแบบสนุกมาก ซึ่งมันทำให้ดูอย่างผมสนุกไปด้วย ซึ่งไม่รู้ว่ามันสนุกจริงๆหรือผมเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากการเริ่มยอมรับความแตกต่างกับพยายามมองโลกโดยไม่เอาอะไรไปกำหนด มองแบบที่มันเป็น พอเล่นเสร็จวงนี้มีลงมาจับมือกับคนดูด้วยนะพร้อมแจก QR ให้ไป subscripe วงใน Youtube ด้วย ซึ่งผมก็ว่าจะลองไปดูใน Youtube ช่องของเขาดูว่าเขามีเต้นอะไรแปลกๆอีกไหม อีกวงนึงที่ได้ดูคือวง Fleramo[Orion] ซึ่งวงนี้เต้นกันแบบยาวๆเลย คือร้องประมาณ 3 เพลงนี่เต้นกันแบบไม่หยุดเลยซึ่งก็เหมือนวง Jikkendojo คือรู้เลยว่าเขาอยากเต้น อยากจะทำอะไรแบบนี้จริงๆ ซึ่งดูอายุพวกเขาน่าจะรุ่นๆผมเลยนะ (เดาเอาจากหน้าตาล้วนๆ) ซึ่งถ้ามองกันแบบหยาบๆเลยนะ ถ้าเขาอายุใกล้กับผมเขาจะยึดอาชีพสายนี้ต่อไปจริงๆเหรอ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาดังไหมถ้าดังก็คงดี แต่ถ้าไม่ดังเขาพอจะเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนี้รึเปล่า แต่พอมาคิดว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่เขารักจริงๆผมว่าเขาคงเลือกที่จะทำเพราะมันเป็นความสุข เขาพร้อมที่จะยอมรับเส้นทางที่เขาเดิน ดังนั้นผมก็ไม่ต้องไปคิดกังวลอะไรแทนเขาเพราะเขาเลือกดีแล้วสิ่งที่ผมควรทำคือปรบมือต่อการแสดงของพวกเขา แสดงความรู้สึกที่แท้จริงกับการแสดงเหล่านั้น

SiamDream

ไม่นานวง SiamDream ก็ขึ้นเวทีครับ คือบอกตามตรงเลยว่าผมไม่รู้จักคนในวงเลยนอกจาก Fern เพราะเพื่อนๆแชร์รูปน้องเขามาแทบจะทุกวันเลย ซึ่งเหตุผลที่มาวันนี้ก็จะมาถ่ายรูปกับน้องเขาเนี่ยแหละ พอสมาชิกเขาขึ้นมาครบแล้วเริ่มการแสดง สายตาโปรแกรมเมอร์ก็จ้องไปที่น้องใส่แว่นทันทีคือแบบ โอย น้องน่ารักเกิน ซึ่งตอนแรกจะมาดู Fern ไปๆมาๆไปมองน้องแว่นซะอย่างงั้น ซึ่งโดยรวมผมก็ไม่รู้ว่าน้องๆเขาเต้นดีหรือร้องดีไหมเพราะเพลงมันเป็นเพลงญี่ปุ่นไม่รู้เนื้อ ดนตรีก็แนวๆเพลง Anime digimon สมัยตอนเด็ก แต่ก็ดูว่าบนเวทีมีการเคลื่อนไหวเยอะดีซึ่งทำให้นึกถึงคำอาจารย์สมัยประถมคือตอนเด็กอาจารย์วิชานาฏศิลป์เคยพูดเรื่องนี้ไว้ว่าตอนเต้นหรือแสดงควรใช้พื้นที่เวทีให้เต็มที่ สลับไปมา มีท่าทาง (เรื่องอย่างงี้จำดีเหลือเกิน) ซึ่งก็ดูเพลินดี แตกต่างจาการดู MV ของนักร้องยุคที่ผมชอบที่เป็น MV ถ่ายให้ดูนักร้องร้องเพลงซึ่งผมชอบแบบนั้นเพราะจะได้เห็นนักร้องที่ตัวเองชอบในมุมใหม่ๆ พอมาถึงตอนแนะนำตัวก็เลยรู้ว่าน้องแว่นเขาไม่ใช่คนไทยเป็นคนญี่ปุ่นแต่น้องเขาชื่ออะไรตอนนั้นก็ไม่รู้นะเพราะหูดับไปแล้วจากเสียงเครื่องเสียงที่เล่นกรอกหูมาตลอด จากนั้นก็มีเล่นอีกเพลงสองเพลง มีเพลงนึงเป็นภาษาไทยด้วย Touch อะไรสักอย่างเดี๋ยวต้องลองไปหาดู พอเล่นเสร็จก็ถึงช่วงเวลาที่จะไปถ่ายรูป

ถ่ายรูปกับ Fern

การถ่ายรูปกับไอดอลนี่เป็นการขายที่ดีเหมือนกันนะคือจะถ่ายกับคนที่ชอบต้องเสียเงินซึ่งก็มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อไปถ่ายเพราะอยากมีรูปด้วย ถือว่าพลิกมุมกับวงการดาราบ้านเราที่สามารถถ่ายรูปด้วยได้ ขอลายเซ็นต์ได้ ลองคิดดูนะถ้าพี่เบิร์ดเปลี่ยนจากถ่ายรูปขอลายเซ็นต์ฟรีมาเป็นเก็บเงิน ผมว่า GMM Grammy คงรวยเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ ถือเป็นการขายของที่น่าสนใจ ครับกลับมาเรื่องของผมครับคือตอนแรกจะถ่ายกับ Fean คนเดียวแต่คราวนี้อยากถ่ายกับน้องแว่นด้วย คราวนี้ก็เกิดประเด็นสิว่าจะเอายังไง ซึ่งพอคิดไปคิดมาเออนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้มาแล้วก็ได้ (อย่าฝากอะไรกับอนาคตอยู่กับปัจจุบันดีกว่าครับ) เดือนนี้ก็ยังไม่ได้ซื้อหนังสือ (ปกติทุกเดือนผมจะซื้อหนังสือประมาณ 1000 กว่าบาท) เพราะหนังสือที่ซื้อมายังอ่านไม่หมด ก็เลยเอาวะซื้อไปถ่ายด้วยกันกับทั้งสองคนเนี่ยแหละ พอซื้อ 2 ใบก็เลยได้รูปน้องมารูปนึง (ไม่รู้ว่าควรจะเลือกว่ารูปไหมเรียกว่าที่คั่นหนังสือก็ได้มั้ง) ซึ่งสุ่มจับแล้วก็ได้รูป Fern จากนั้นก็ไปเข้าคิวรอถ่ายรูปซึ่งแถวเฟิร์นก็นานระดับนึง ไอแถวยาวไม่ใช่ประเด็นครับประเด็นอยู่ที่จะถ่ายท่าไหน คือปกติไม่ค่อยถ่ายรูปกับใครไม่เคยแอคติ้งท่า แล้วนี่ต้องถ่ายกับผู้หญิง โอ้ตายๆๆๆๆ ระหว่างรอก็คุยกับเพื่อนว่า “ถ่ายรูปกับผู้หญิงนี่ยากกว่าเขียนโปรแกรมอีกนะ” เพื่อนก็บอกว่าคิดเหมือนกัน พอคิวยิ่งใกล้ยิ่งกลัวแม่งจะถ่ายรูปกับผู้หญิงยังไงวะ จนพอถึงคิวก็เดินเข้าไป

น้อง : สวัสดีค่ะ จะถ่ายรูปท่าไหนดี

โปรแกรมเมอร์ : อ่าพี่พึ่งมาถ่ายครั้งแรกอะพี่ไม่รู้ถ่ายท่าไหน

น้อง : งั้นเอาท่าจับไหล่ละกัน

แล้วน้องก็จัดแจงท่าให้แบบงงๆคือตอนนั้นงงมากทำได้แค่ยิ้ม พอถ่ายเสร็จน้องก็เอารูปมาเขียน

น้อง : พี่ชื่ออะไรคะ

โปรแกรมเมอร์ : พี่ชื่อ…. ครับ

น้อง : นี่มาครั้งแรกเลยเหรอ

โปรแกรมเมอร์ : ครับ

น้อง : งั้นก็ต้องมีครั้งหน้านะ

โปรแกรมเมอร์ : คนเรามีครั้งแรกแล้วมีครั้งต่อไปไม่ยาก

น้อง : แล้วเจอกันนะ

พร้อมกับเอามือมาให้แปะกัน ตอนนั้นก็แปะกับน้องเขาแล้วเดินออกไปงงๆ

คือน้องหน้าสวยมากแบบสวยเลย เสียงก็น่ารักเข้าใจว่าเสียงสองนะ (ฮ่าๆๆๆ อย่าว่าพี่เลยนะ) ก็ถือว่าเป็นความประทับใจกับความรู้สึกใหม่ที่ได้ถ่ายรูปกับคนสวยๆขนาดนี้

ถ่ายรูปกับน้องแว่น

คือน้องแว่นนี่ต่างกับ Fern เลยนะคือไม่มีแถวแยกมีแต่แถวรวมแล้วเราไปเข้าแถวแล้วจะมีคนมาเรียกว่าน้องคนนี้ว่างแล้วเข้าไปได้ ซึ่งก็รอไม่นานนักก็ได้ถ่ายกับน้องแว่น เอ้อจริงๆแล้วน้องแว่นชื่อ Nico อ่านว่านิโกะ ตอนแรกอ่านเป็น นิโคล (บุษบาหน้าเป็น) พอเข้าไปน้องเขาก็ถามแหละว่าท่าไหนเราก็งงๆเลยถ่ายตามน้องเขาไป จากนั้นก็คุยกับน้องเขา

โปรแกรมเมอร์ : น้องพูดภาษาไทยได้ไหมครับ

น้อง : สวัสดีค่ะหนูชื่อ Nico ค่ะ

โปรแกรมเมอร์ : พี่ชื่อ … นะ

น้อง : อ่า … ที่เขียนยังงี้ใช่ไหมล่ะ

โปรแกรมเมอร์ : ใช่ๆๆ

น้อง : ดูการแสดงเป็นยังไงสนุกไหม

โปรแกรมเมอร์ : สนุกดีนะ

จากนั้นก็เงียบไปพักนึงเพราะเราคุยกันไม่รู้เรื่อง

น้อง : Nico เรียนภาษาไทยทุกวันเลยนะ เดี๋ยว Nico เขียนคำว่าชอบให้นะ

โปรแกรมเมอร์ : โอ้เขียนคำว่าชอบได้จริงๆด้วย

น้อง : แล้วมาเจอกันใหม่นะ

จากนั้นน้องก็ขอจับมือแล้วก็แท็กมือกันแล้วก็บ๊ายๆ ถ่ายรูปกับน้อง Nico นี่คือกันเองมากเหมือนคุยกับน้องสาวเลยนะ คือน้องเขาพยายามคุยด้วยทั้งที่พูดไทยไม่ค่อยได้ โดยส่วนตัวผมมองว่าน้องน่ารักมาก น่ารักแบบใสๆ (พี่ไม่รู้ว่ามันคือการแสดงรึเปล่านะ อย่าว่าพี่เลย ฮ่าๆๆๆ) ก็ตลกดีที่ได้คุยแบบไม่ค่อยรู้เรื่องกับน้อง ก็หวังว่าถ้าได้คุยกับน้องครั้งหน้า (ซึ่งไม่รู้จะมีไหม) คงได้คุยกับน้องเยอะกว่านี้

ดูงานต่อ

หลังจากจับมือเสร็จก็ได้ไปเดินงานต่อซึ่งได้มีโอกาสไปดูวงไอดอลอีกวงของญีปุ่นซึ่งเพื่อนผมอยู่ในวงการชอบ ซึ่งพอไปอยู่ตรงหน้าเวทีนี่ได้พบอะไรแปลกใหม่ไม่ว่าจะเป็นเชียร์เพลง(ไม่รู้เขาเรียกอย่างงี้รึเปล่านะ) คือคนดูจะร้องดังๆเข้ากับจังหวะเพลงแบบ โอ้ดูท่าเขาสนุกกันมาก แถมมีตั้งค่ายกลวิ่งกันไปมาด้วยนะเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ คือมองไปที่พวกเขาแล้วรู้เลยว่ากำลังสนุกมีความสุข มันเป็นความสุขสื่อได้อย่างชัดเจน ซึ่งไม่แน่ว่ามันเป็นความสุขที่ลึกล้ำกว่าการนั่งสมาธิก็ได้นะเพราะวิธีการได้มาซึ่งความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ไปแล้วได้อะไร

สำหรับไปงานครั้งนี้คือการได้ไปเรียนรู้และเห็นสังคมอีกแบบหนึ่งซึ่งก็น่าสนใจดีนะ ได้ไปเห็นคนที่ทำตามฝันที่ไม่ใช่กระแสหลักของสังคม (กระแสหลักคือทำงานเลื่อนขั้นเป็นเจ้าคนนายคนหรือมีฐานะมั่นคง) ได้เห็นความสุขของคนที่แสดงบนเวทีและคนดูที่อยู่ข้างล่าง ผมเคยเห็นเหตุการณ์พวกนี้เหมือนกันตอนไปดูละครเวทีแต่มันไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหรเพราะมันเข้าใจยากไม่ได้เข้าใจง่ายผ่านเสียงเพลงและการเต้นและเล่นกับคนดู ได้ลองถ่ายรูปและพูดคุยกับน้องสองคนซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีซึ่งไม่รู้จะมีอีกไหม สำหรับผมนี่ถือเป็นความทรงจำดีๆอีกความทรงจำในชีวิตเลย

ปล. ไม่ขอขิงภาพในนี้นะ ใครอยากเห็นให้ไปดูในอัลบั้มความทรงจำมีสีเอา ฮ่าๆๆๆ

สิทธารถะ

คุยกันก่อนอ่านนะ

สิทธารถะ

บอกก่อนว่าหนังสือเล่มนี้เป็น “นิยายที่แต่งขึ้น” ย้ำอีกครั้งว่าเป็น “นิยายที่แต่งขึ้น” และขอย้ำครั้งที่สามว่าเป็น “นิยายที่แต่งขึ้น” ดังนั้นมันจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องในพุทธประวัติใดๆอะไรทั้งนั้น โดยถึงผมจะมองว่าพุทธประวัติเป็นเรื่องแต่งแต่ผมก็เชื่อว่าหลายคนที่หลงเข้ามาอาจจะมีบางคนที่นับถือพระพุทธศาสนาแบบจริงจังในเรื่องพุทธประวัติ ดังนั้นผมจึงอยากจะบอกว่าเนื้อหาต่อจากนี้ผมจะเขียนในมุมมองความคิดของผมหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งแน่นอนว่าอาจจะมีบางถ้อยคำไปกระทบจิตใจของท่าน ผมจึงขอแนะนำให้ท่านที่เคร่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เปลี่ยนไปอ่านบทความอื่นในเว็บของผมแทน แต่หากท่านใดอยากดำดิ่งไปกับผมหนังสือเล่มนี้ก็ลองดำดิ่งตามมาครับ แต่เมื่อใดที่ท่านคิดว่ามันไม่ดี ผมก็ยืนยันว่าหยุดอ่านเถอะครับ แต่ละคนมีทางมีความเชื่อไม่เหมือนกันดังนั้นเลือกเอาเฉพาะสิ่งที่ท่านเห็นว่าสมควร

เส้นทางสู่การหลุดพ้น

ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ศึกษาศาสนาพุทธและได้นับถือศาสนาพุทธ(ปัจจุบันผมไม่รู้ว่ายังนับถืออยู่ไหม แต่ผมไม่เห็นว่าสำคัญไหมที่ผมนับถือหรือไม่นับถือ ผมแค่เอาแนวคิดหลักการมาใช้น่าจะดีกว่าการบอกปาวๆๆๆว่านับถือ) ผมไม่บอกว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายแต่สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนจากศาสนาพุทธคือการค้นหาคำตอบของชีวิต การหลุดพ้น เราได้ฟังเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะทรงออกค้นหาคำตอบในชีวิตแล้วท่านก็ได้คำตอบของชีวิตเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง แต่คำถามคือ เราได้ค้นหาอย่างที่พระองค์ออกไปค้นหาไหม หรือเรานั่งท่องแค่่ว่าพระองค์เกิดวันเพ็ญเดือนนี้ มีพ่อแม่พี่น้องชื่อว่าอะไร เราได้สนใจสิ่งที่สิ่งที่พระองค์ทิ้งไว้ให้พวกเราหรือเปล่า หากจะว่าไปแล้วพระสงฆ์คือผู้ที่ปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้าโดยใช้หลักการที่ว่าหากพระพุทธเจ้าสามารถหลุดพ้นได้ด้วยวิธีนี้ ผู้ที่ปฏิบัติตามย่อมต้องหลุดพ้นได้เช่นกัน ว่าง่ายๆก็เหมือนการแก้โจทย์คณิตศาสตร์นั่นแหละ หากท่านทำตามวิธีที่ที่อาจารย์ในวิชาสอนทุกขั้นตอนแล้ว ท่านก็ต้องสามารถแก้โจทย์ข้อนั้นได้อย่างถูกต้อง แต่เส้นทางในการหาคำตอบมาแค่ทางเดียวเหรอ ทางของพระพุทธเจ้านั้นดีที่สุดเหรอ คนทุกคนจะเหมาะกับเส้นทางของพระพุทธเจ้าเหรอ

ความอยากรู้ที่ไม่สิ้นสุด

สิทธารถะชื่อคล้ายๆกับสิทธัตถะนี่คงจะเป็นความจงใจของผู้แต่งที่อาจจะทำให้เราสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับพระพุทธเจ้าหรือสร้างความรำคาญใจให้คนที่เคร่งครัดในพุทธประวัติ ชายคนนี้คือเกิดในตระกูลพราหมณ์เป็นผู้เฉลียวฉลาดกว่าคนอื่นๆในวัยเดียวกัน แต่ด้วยความฉลาดของเขาทำให้เข้าใจทุกอย่างจนเกิดคำถามต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอะไรคือที่สุดของความลับ เขาเชื่อว่าไม่ใช่พระพรหมหรือเทพเจ้าต่างๆ มันต้องอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น และด้วยการที่เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของพราหมณ์ ทางเดียวที่จะตอบคำถามของเขาได้คือ ไปหาความรู้ใหม่ ความรู้อื่น ที่ไม่ใช่พราหมณ์

การหนีจากตัวเอง

ตอนหนึ่งในเรื่องเล่าถึงตอนที่สิทธารถะไปหาความรู้กับสมณะโดยทำทุกรกิริยาโดยการอดอาหาร ซึ่งพออดอาหารร่างกายก็เริ่มปิดระบบที่คิดว่าไม่จำเป็นเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อได้ เช่น ลดพละกำลัง ลดเรื่องทางเพศ ดังนั้นคงไม่แปลกครับถ้าพวกนักบวชอดอาหารจะไม่ค่อยสนใจเรื่องทางเพศ ตอนแรกสิทธารถะก็คิดว่ามันคงจะเป็นทางหลุดพ้น เขาฝึกอย่างนี้จนสามารถถอดจิตของตัวเองไปลองเป็นอย่างอื่นได้ แต่ก็ไม่นานเท่าใดสิทธารถะก็จะต้องกลับมาเป็นตัวเขาเองเสมอ ไม่ว่าเขาจะลองไปเป็นอะไรก็ตาม สุดท้ายเขาจะต้องกลับมาเป็นตัวเอง ซึ่งเมื่อเขามาคิดมันก็แค่การหนีจากตัวเองเท่านั้น วิชาที่เขาฝึกสำเร็จนั้นเทียบเท่ากับการแค่ไปนั่งกินเหล้าหนักๆจากนั้น คุณก็จะลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร คุณจะไม่ทุกข์ คุณจะสบาย คุณจะหนีจากตัวเองได้สำเร็จ แต่สุดท้ายพอรุ่งเช้าคุณหายเมาคุณก็จะกลับมาเป็นตัวคุณเอง คุณไม่มีทางหนีจากตัวเองได้พ้น

หันหลังให้พระพุทธเจ้า

หลังจากศึกษาหาความรู้กับเหล่าสมณะจนรู้แล้วว่าเส้นทางนี้ไม่เหมาะกับตนและคิดว่าคงไม่สามารถพาไปถึงจุดหมายที่ตนอยากรู้จึงขอแยกตัวไปหาเส้นทางใหม่ ซึ่งเส้นทางใหม่ที่สิทธารถะกำลังไปหาคือ “พระพุทธเจ้า” ใช่ครับ พระพุทธเจ้าที่เรารู้จักเนี่ยแหละ (เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง) เมื่อสิทธารถะได้เห็นพระพุทธเจ้า เขาก็รู้ทันทีว่าคนคนนี้แหละคือผู้ที่ได้คำตอบที่เขาค้นหาแล้ว สิทธารถะจึงนั่งฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า่คืออะไร หลักการคืออะไร ซึ่งเมื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว โควินทะเพื่อนของสิทธารถะที่ออกเดินทางมาด้วยกันเกิดความเลื่อมใสขอบวชเป็นพระ แต่สิทธารถะกลับไม่ทำอย่างนั้นเขาเลือกที่จะเดินทางต่อไปเพื่อหาคำตอบเด้วยตัวของเขาเอง คือตอนอ่านถึงจุดนี้ผมอึ้งมากแบบ “เฮ้ยนี่มันควรจะเป็นจุดจบของเรื่องแล้วนะ” คืออ่านนิทานชาดกต่างๆนา พอไปเจอพระพุทธเจ้าทุกคนเข้าใจหลักธรรมแล้วก็บรรลุกันหมด แต่เรื่องนี้แหวกแนวโคตรๆคือเขาไม่เลือกจะบวช ไม่เลือกจะทำตาม แต่เลือกจะค้นหาต่อไป ถ้าตามหนังสือธรรมะทั่วไปหรือถ้าหน้าเพจธรรมะบน Youtube คงจะบอกการกระทำนี้ของสิทธารถะเป็นความหยิ่งผยอง การกระทำที่โง่ หรือ สิทธารถะเป็นคนมีกรรม เป็นพวกสติไม่ดีแน่ๆ แต่เรื่องนี้ให้แนวคิดที่ต่างออกไป ในวันที่สิทธารถะกำลังจะเดินทางนั้นบังเอิญได้พบกับพระพุทธเจ้าตามลำพัง จึงเกิดบทสนทนาที่น่าสนใจมากซึ่งผมแนะนำให้ไปหามาอ่านจริงๆครับมันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก สิทธารถะบอกพระพุทธเจ้าว่าคำสอนของพระองค์มีช่องโหว่ ซึ่งถ้าพูดกันตามหลักแล้วมันเป็นช่องโหว่จริงๆ (ช่องโหว่ที่ว่าคืออะไรไปซื้อมาอ่านนะ) ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ยอมรับโดยตรงว่ามันเป็นช่องโหว่จริงๆและกล่าวชมสิทธารถะที่มองเห็นด้วยซ้ำ แต่พระพุทธเจ้าก็บอกว่าทางของพระองค์นั้นก็เป็นทางที่ผู้ที่เข้าตามเส้นทางของพระองค์ก็สามารถค้นหาคำตอบได้ สามารถหลุดพ้นได้ ท่านคิดว่าทางนี้ไม่ควรจะเดินตามเหรอ สิทธารถะตอบพระองค์ว่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจให้ใครเดินไปเส้นทางไหน เขาตัดสินได้เฉพาะเส้นทางของตัวเองเท่านั้น และพร้อมบอกเหตุผลที่ตนเองไม่เดินไปตามเส้นทางของพระพุทธเจ้านั้นเพราะว่าการค้นหาคำตอบของการหลุดพ้นนั้นต้องค้นหาด้วยตัวเองสัมผัสด้วยตนเองไม่ใช่ฟังมาจากใคร และเมื่อใดที่เขาเข้าไปในเส้นทางของพระพุทธเจ้า เขาจะสำคัญว่าเขาเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า เข้าใจว่ามันเป็นคุณงามความดี หลงไปกับสิ่งนั้นและสุดท้ายก็จะไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการ คือผมชอบส่วนนี้มากคือมันเป็นการเปิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเดินตามทางใคร ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนพระพุทธเจ้า ทำแบบพระพุทธเจ้า คือเส้นทางของพระพุทธเจ้าอาจจะไม่ใช่คำตอบของทุกคน ซึ่งการอ่านหนังสือเล่มนี้สำหรับบางคนคงเป็นการคลายปมบางปมออกจากชีวิตเลยก็ได้ อันนี้คือเส้นทางของโลกทางธรรมที่เราถูกผูกปมโดยพ่อแม่ ญาติพี่น้องหรือสังคม แต่พอไปในโลกที่เราใช้ชีวิตหาเงินหาทอง หลายๆคนพยายามเดินตามทางของคนอื่นไม่ว่าจะเป็น Bill Gates, Steve Jobs และอีกหลายๆคน จนลืมไปว่ามันไม่ได้มีแค่เส้นทางเหล่านั้น มันยังมีอีกหลายเส้นทางที่ท่านจะเดินได้ และจริงๆมันควรจะเป็นเส้นทางของท่านเองด้วย แต่ผมก็เห็นหลายๆคนเดินตาม Pattern คนอื่นอย่างหน้าตาเฉย ฝึกแบบเขา ทำตามแบบเขา จนลืมไปว่าคุณไม่ใช่เขา คุณเป็นมนุษย์ คุณไม่ใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนเหมือนกันแล้วจะทำตามกันได้ทั้งหมด พอไม่ประสบความสำเร็จหรือสังคมไม่ยอมรับ พวกเขาเหล่านั้นกลับก่นด่าสังคม ซึ่งสำหรับผมเมื่อคุณเลือกทางเส้นนั้นด้วยตัวคุณเองแล้วคุณจะเสียใจทำไมล่ะ คุณเลือกทางเดินนั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเลือกเรียนจนจบอุดมศึกษา หรือ ออกไปท่องโลกกว้างในขณะที่ยังเรียนไม่จบ แต่ละเส้นทางท่านจะเจอสิ่งไม่เหมือนกัน สิ่งที่ตามมาไม่เหมือนกัน แล้วทำไมคุณถึงยอมรับมันไม่ได้ล่ะ

ตัวคุณเองคือใคร

หลังจากเดินตามเส้นทางของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เขาค้นพบคือ เขาไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นยังไง รู้สึกยังไง โลกที่เป็นอยู่จริงๆคืออะไร สีของฟ้า สีของหญ้า เป็นยังไงแบบจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ได้ถูกสอนหรือร่ำเรียนมาหรือว่าง่ายๆ เขาไม่เคยมองโลกในแบบที่มันเป็นจริงๆ แบบที่ไม่ได้แต่งเติมความหมายให้มัน เขาไม่เคยฟังเสียงจากใจของตัวเอง ฟังว่าตัวเองต้องการอะไรแบบจริงๆ เขาแค่ทำตามหลักการที่ร่ำเรียนมา ตอนนี้เป็นอีกตอนที่อ่านแล้วเจ็บมาก เจ็บเข้าไปข้างใน มันเป็นจริงอย่างที่สิทธารถะว่าเลย ผมรู้เกี่ยวกับตัวเองน้อยมาก ไม่รู้แม้กระทั่งสิ่งที่ชอบจริงๆ เวลาโกรธแสดงสีหน้ายังไง รู้สึกยังไง เวลารักทำหน้ายังไง รู้สึกยังไง ไม่เคยรู้ว่าตกลงแล้วตัวเองชอบอะไร มีความสุขตอนไหน อะไรทำให้เกิดทุกข์ ไม่เคยมองสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น เมื่อเห็นท้องฟ้า เราไม่เคยมองมันว่าเป็นท้องฟ้า แต่เราจับเอาสิ่งที่เราตีความว่าเป็นต้องฟ้าแล้วก็จบการมองตรงนั้น เราไม่เคยมองสิ่งที่มันเป็นจริงๆ เราแค่เอาคำที่ร่ำเรียนมาสิ่งที่เรียนรู้มาแปะมันกับสิ่งนั้น หรือจริงๆคำตอบของคำถามนั้นคือการค้นหาตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ความรู้สึกที่มีเป็นอย่างไร และมองโลกตามที่มันเป็น

โลกของคนธรรมดา

หนังสือเล่าถึงการค้นหาเส้นทางของสิทธารถะต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะลองลิ้มรสการมีชีวิตแบบคนทั่วไปที่ไม่ใช่พราหมณ์ ไม่ใช่สมณะนั้นเขาเป็นอย่างไร มีทรัพย์สินเงินทอง มีความรัก มีความโกรธ เขาได้ลองลิ้มรสมันจริงๆผ่านการมองเห็น การกระทำ ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าของหนังสือ หรือ ครูอาจารย์ เขาพบว่าตัวเองกำลังหมุนไปกับวงจรเหล่านี้ ตัวหนังสือไม่ได้บอกเส้นทางเหล่านี้นั้นดีหรือแย่ เขาแค่เล่าผ่านตัวสิทธารถะว่าเขาเอียนกับการใช้ชีวิตแบบนี้ เขาแค่รู้สึกว่าเขาอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ซึ่งผมชอบมากกว่าการมาสรุปความเอาให้เลยว่า “โลก” แบบที่เราอยู่นั้นเป็นเรื่องไม่ดี ไม่แน่ว่าคนบางคนอาจจะมีความสุขในการใช้ชีวิตแบบธรรมดาแบบนี่แหละ มีเงินมีทอง อยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน อยากรักใครก็รัก ถ้ามันเป็นความสุขของเขามันทำให้เขาถึงคำตอบของเขาได้ด้วยวิธีนั้นแล้วเขาหลุดพ้นได้

ไม่มีใครช่วยใครได้

ตอนท้ายของเรื่องได้เล่าเรื่องสิทธารถะได้พบกับลูกชายและได้มีโอกาสเลี้ยงดูลูกชายของเขา ซึ่งเขาเลี้ยงลูกชายของเขาด้วยความรักและไม่อยากให้ลูกชายของเขาต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบที่เขาเป็น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ตรงจุดวาสุเทพเพื่อนของสิทธารถะได้พูดกับสิทธารถะว่า ท่านลืมเรื่องสิทธารถะ ผู้ที่หนีจากการเป็นพราหมณ์ ไปเป็นสมณะ ใช้ชีวิตเป็นเศรษฐี แล้วมาเป็นชายพายเรือแล้วหรือ ไม่ว่าท่านจะรักใครเท่าไร ท่านไม่สามารถบังคับใครไม่ให้ทนทุกข์จากเรื่องที่เขาเลือกด้วยตัวเอง ไม่มีใครกันไม่ให้เขากินยาพิษที่เขาปรุงขึ้นด้วยตัวเอง ซึ่งพอผมอ่านถึงจุดนี้แล้วนี่เจ็บขึ้นมา เจ็บขึ้นมาจริงๆ นึกถึงภาพพ่อกับแม่ที่รักลูกคนนึงไม่อยากให้ลูกต้องเจออะไรแบบที่พวกท่านเจอ พวกท่านพยายามให้ลูกเดินตามทางที่ท่านคิดว่าดี แต่ลูกก็พยายามจะหนีออกจากเส้นทางนั้น ความรักเหล่านั้นไม่รู้จะเป็นการทำร้ายไหม การหนีจากเส้นทางเหล่านั้นไม่รู้เป็นสิ่งถูกต้องไหม ในมุมมองของผมทุกคนมีชีวิตของตัวเอง เขาต้องเจอกับทุกสิ่งไม่ว่าทุกข์หรือสุขด้วยตัวของเขาเอง เขาเลือกได้ทั้งจะเดินตามทางที่ถูกเขียน หรือเขาจะเดินตามทางของเขา ในเรื่องนี้ไมมีใครช่วยใครได้จริงๆอย่างที่หนังสือว่า

อ่านแล้วได้อะไร

หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบนี่ถือว่าประทับใจมาก หนังสือเล่าเรื่องได้น่าติดตามแบบไม่ต้องหวือหวา เล่าแบบเรื่อยๆเหมือนเล่าเส้นทางของชีวิตคนคนหนึ่ง คนที่ต้องการหาคำตอบที่ต้องการรู้ เรื่องนี้ทำให้เห็นเส้นทางที่หลากหลาย การยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล ความรักของพ่อแม่ที่ไม่รู้ว่ามันดีหรือร้าย การที่ต้องยอมรับผลของการกระทำของตน ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้าย สำหรับผมผมว่ามันเป็นหนังสือที่แนะนำให้อ่านเลยจริงๆ มีทั้งสนุก สุข เศร้า มีเรื่องที่สอนทางธรรมสอดแทรกไว้ด้วย โดยไม่เจาะจงว่าเป็นศาสนาใด เพราะมันเป็นกลางเอาเสียมากๆ เพราะเขาพูดถึงโลกในแบบที่มันเป็น ไม่ใช่โลกในสิ่งที่เราสร้างสรรค์มันขึ้นมา

ปล. ยังมีหลายส่วนที่ไม่ได้สปอยในนี้ ทั้งตอนจบ และหลายๆจุดเปลี่ยนในเรื่องซึ่งกินใจและให้ข้อคิดมากๆ แนะนำให้ลองไปหามาอ่านดู หนังสือเล่มไม่ใหญ่อ่านวันเดียวก็จบ

เพลงประกอบการเขียนบทความนี้

ถ้าพูดถึงเส้นทางของตัวเอง ยอมรับผลที่ตามมาไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผมว่าเพลงความเชื่อน่าจะเป็นเพลงที่พูดถึงเรื่องนี้ได้ดีอีกเพลงนึง

อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ - Ikigai

ความหมายของการมีชีวิต

อิคิไก ความหมายของการมีชีวิตอยู่ - Ikigai

ความหมายของการมีชีวิตเป็นคำถามคลาสิกที่คนที่จำนวนมากมักตั้งคำถามขึ้นมา ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เริ่มต้นถามคำถามนี้ ซึ่งผมก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเริ่มมีคำถามนี้มาอยู่ในหัวเมื่อไหร่ สำหรับบางคนคำถามนี้อาจเป็นคำถามแก้เบื่อ คำถามที่สุดของชีวิต สำหรับผมมันคือความใคร่รู้ โดยผมมีคำตอบอยู่ในใจคำตอบนึงแล้วซึ่งมันก็คือ “ชีวิตแม่งไม่มีความหมายตั้งแต่ต้น เราเป็นคนใส่ความหมายให้มันเอง” แต่โลกนี้มีหลายแนวคิด หลายแนวทาง ดังนั้นก็เป็นเรื่องดีที่เราควรจะศึกษาถึงแนวคิดต่างๆเพื่อนำมาทดลองหรือทำเพื่อหาว่า คำตอบที่เหมาะสมกับตัวเราคือคำตอบอะไร

อิคิไก

คำนี้ผมเคยเห็นผ่าน Facebook เพราะเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งแชร์มา มันเป็นภาพของวงกลมกี่วงไม่รู้มาซ้อนทับกันแล้วตรงกลางคือ อิคิไก โดยจำได้คร่าวๆคือมันต้องเป็นงานที่เลี้ยงตัวเองได้ งานที่ชอบ และงานที่มีคุณค่าต่อส่วนรวมอะไรประมาณนั้น ซึ่งพออ่านจากชื่อก็น่าจะเป็นแนวคิดของญี่ปุ่น ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากเพราะช่วงนั้นมีเรื่องน่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น OOP, JAVA, DATABASE และอีกมากมายหลายอย่างที่ทุกวันคือการอยากตื่นไปเรียนเพื่อรู้เรื่องพวกนี้ อยากจะเก่งมากขึ้นกว่านี้

เหตุผลที่เราอยากตื่นขึ้นมา

หนังสือเล่มนี้ได้เล่าเกี่ยวกับนิยามของคำว่าอิคิไกว่าคือความหมายของการมีชีวิต พร้อมเล่าเหตุผลต่างๆนาๆว่าญี่ปุ่นพัฒนาแนวคิดนี้มาจากอะไรอย่างไร ซึ่งผมอ่านก็มึนๆงงๆเกี่ยวกับเขาอะนะ มันมีเรื่องเสาหลักห้าประการของอิคิไก ซึ่งผมก็จำไม่ได้หรอกเพราะมันไม่น่าสนใจเอาเสียเลย แต่ที่อ่านแล้วน่าสนใจคือ “เหตุผลในการที่เราอยากตื่น” คำนี้แหละทำให้ผมนึกถึงตอนเรียนอุดมศึกษาช่วงนึงที่ผมอยากไปเรียนวิชา DATABASE อยากรู้วิธีการออกแบบ หลงใหลในความสวยงามของหลักการ การแก้ปัญหาที่เป็นระบบระเบียบ หรือ วิชา OOP ที่เราเห็นแนวคิดการเขียน CODE ที่เหมือนต่อ LEGO สวยงามและยืดหยุ่น ช่วงนั้นเป็นเวลาที่อยากตื่น อยากลุกไปทำอะไรอย่างนี้ทุกวัน หนังสือเล่าว่าการที่เราอยากตื่นไปทำอะไรสักอย่างก็เป็นหนึ่งในอิคิไกแล้ว ซึ่งอิคิไกของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เช่น ชาวประมงบางคนอยากตื่นเช้าเพื่อไปล่าปลาดีๆสักตัว คนบางคนอยากตื่นมาแค่เล่นหมากรุกกับเพื่อน คนบางคนอยากตื่นขึ้นมาเพื่อเลี้ยงหลาน เหลน โหลน แค่คุณมีความรู้สึกนี้ก็ถือว่าคุณมีส่วนหนึ่งของอิคิไกละ

มาตรฐานที่สูงส่ง

อีกเรื่องนึงที่อ่านแล้วน่าสนใจคือ การรักษามาตรฐานหรือใฝ่หาความสมบูรณ์แบบของคนญี่ปุ่นคือ คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งหรือหน่วยงานของญี่ปุ่นเนี่ยเขาจะมีการตั้งมาตรฐานของตัวเองขึ้นมาแล้วเขาจะต้องรักษามาตรฐานแบบนี้ไว้ให้ได้ ตัวอย่างที่คนต้องทึ่งคือ ความตรงต่อเวลาของรถไฟญี่ปุ่นที่เคยมีเคมเปญของการรถไฟญี่ปุ่นว่า “ถ้าเวลานี้รถไฟยังไม่มาเนี่ยแสดงว่านาฬิกาของคุณเนี่ยเดินไม่ตรงนะ” เชี่ยคือต้องมั่นใจมากขนาดไหนวะหรือต้องรักษามาตรฐานดีแค่ไหนวะถึงจะกล้าพูดแบบนี้ คนแต่งเขาบอกว่า (ไม่รู้จะพูดเกินจริงไหม) ว่าคนญี่ปุ่นเวลาทำอะไรจะมีมาตรฐานพวกนี้อยู่เสมอและใฝ่หาการพัฒนามาตรฐานพวกนี้ให้สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็ยกตัวอย่างการใฝ่หาความสมบูรณ์แบบของคนญี่ปุ่นอื่นๆอีกมากมาย เช่น การปลูกต้นเมล่อนเกรดเอที่ต้องพิถีพิถันปลูก ปลูกแบบลูกเดียวขายได้หลายหมื่นอะไรประมาณนี้ซึ่งเขามีมาตรฐานที่เรียกว่าเข้าใกล้อุดมคติและรักษามาตรฐานเหล่านี้เเรื่อยมาจนคนยอมเสียเงินเป็นหมื่นเพื่อซื้อกินกัน (คือมันต้องอร่อยขนาดไหนวะจนยอมเสียเงิน 1 หมื่นเพื่อซื้อเมล่อนลูกนึงกิน) หรือ นักทำถ้วยชงชาที่พยายามทำถ้วยชงชาให้สมบูรณ์แบบลอกเลียนถ้วยชงชาที่ผลิตขึ้นเมื่อโบราณกาลซึ่งเป็นสมบันติประจำประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตอนแรกอ่านก็นึกว่าทำแค่ 10 - 20 ปี พออ่านไปอ่านมากลายเป็น “เฮ้ยนี่ทำกันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวดส่งต่อความฝันลากยาวมายันเหลน”

จุดหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ตอนนึงในหนังสือพูดถึงกีฬาซูโม่ คุณฟังไม่ผิดครับกีฬาซูโม่ซึ่งผมคิดว่ามันคือการแสดงแต่จริงๆแม่งคือกีฬาอาชีพจริงๆแล้วแม่งก็เป็นกีฬาอาชีพที่แบ่งแยกชนชั้นอย่างโหดร้ายเลยทีเดียว คือในหนังสืออธิบายว่า คือต้องเป็นระดับ Rank TOP ไรสักอย่างเท่านั้นที่จะมีสิทธิพิเศษต่างๆ ส่วนพวกที่ไม่ใช่ Rank TOP แทบจะไม่มีสิทธิ์ไม่มีชื่อเสียงไม่มีเงินทองไม่มีใครจดจำเลย แต่พวกนักซูโม่บางคนนี่คือยังยินดีที่จะแข่งต่อไปทั้งที่ต่อให้แข่งจนแก่ตายก็ไม่มีทางไปถึง Rank TOP แต่ทำไมเขาจึงยังอยู่ต่อล่ะ เพราะจริงๆเขาไม่ได้หวังจะไปถึง Rank TOP ไงล่ะ นักซูโม่บางคนแค่อยากได้ขึ้นไปบนเวทีไปสัมผัสบรรยากาศการต่อสู้แม้จะรู้ว่าแพ้แน่ๆแต่เขาก็ชอบการได้ประจันหน้ากับศัตรู บางคนก็ชอบช่วงเวลาก่อนขึ้นเวที บางคนก็ชอบเวลาตัวเองถูกขานชื่อ

สร้างใหม่ให้เหมือนเดิม

หนังสือเล่าการกระทำแปลกประหลาดอย่างหนึ่งคือการบูรณะศาลเจ้าในญี่ปุ่นที่หนึ่งซึ่งการบูรณะของเขาคือ การรื้อของเก่าทิ้งทั้งหมดแล้วสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมทุกอย่าง โดยจะทำอย่างนี้ทุก 20 ปี คืออ่านตอนแรกนี่บอกเลยว่าในเชิงการเขียนโปรแกรมนี่คือไร้สาระมากคือทำของใหม่โดย copy ทุกอย่างให้เหมือนของเดิมทุกอย่าง เชี่ยมึงจะเสียเวลาทำไปทำไม แต่พอมองในด้านศิลปะมองในด้านที่ต้องทำด้วยมนุษย์แล้วมันคงเป็นอะไรที่ยากโคตรๆ เพราะศาลเจ้าที่ว่าเนี่ยเขาบอกว่าไม่ได้ใช้ตะปูสักตัว แปลว่ามันใช้การต่อแบบปรานีตจริงๆ ทุกส่วนต้องเป๊ะระดับห้ามพลาดแม้แต่มิลเดียว ไม้ที่เอามาทำบางต้นนี่ต้องใช้ต้นไม้อายุเป็น 100 ปี (ลองนึกถึงบ้านเราที่ตัดไม้มาบูรณะเสาชิงช้า กว่าจะหาได้ยากแค่ไหน) คือมันต้องเป็นการเตรียมการปลูกต้นตั้งแค่คนรุ่นปู่เพื่อให้หลานทำ แล้วถ้าเขาทำทุก 20 ปีแปลว่าเขาต้องสอนประสบการณ์พวกนี้ให้แก่คนรุ่นถัดไปตลอดเวลา ซึ่งถือเป็นการรักษาภูมิปัญญางานไม้ระดับตำนานนี้ให้อยู่ต่อไปด้วยวิธีที่ค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว เพราะคนรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสลองงานจริงในการสร้างศาลเจ้าที่ใช้ภูมิปัญญางานไม้ขั้นสูงสุดนี้ตลอด เรื่องนี้ทำให้เห็นวิธีการอันชาญฉลาดของคนญี่ปุ่นในการรักษาภูมิปัญญา เห็นถึงการวางแผนการเตรียมตัว เห็นความสม่ำเสมอ แล้วที่น่าแปลกคือคนที่มาทำงานพวกนี้เขาต้องมีใจรักจริงๆว่าง่ายๆ เขาอยากตื่นเข้าขึ้นมาเพื่อสักวันหนึ่งจะได้สร้างศาลเจ้านี้ ได้ส่งต่อภูมิปัญญางานไม้นี้ เขามีอิคิไกคือการรักษาภูมิปัญญานี้ให้อยู่ต่อไป

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับหนังสือเล่มนี้อ่านแล้วทำให้ได้คำตอบ “ความหมายของการมีชีวิต” ในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นคำตอบที่ง่ายมากๆและว่ามันตอบโจทย์มากๆคือ การอยากตื่นขึ้นมาเพื่อทำอะไรบางอย่าง ซึ่งความหมายของการมีชีวิตของแต่ละคนนั้นแล้วแต่ละบุคคลเลย ไม่มีใครมาบอกว่า ความหมายของการมีชีวิตของทุกคนคือ การรับใช้พระเจ้า การทำเพื่อคนอื่น ความหมายของการมีชีวิตอาจเป็นแค่ อยากตื่นขึ้นมา กินกาแฟอร่อยๆสักแก้ว การได้วิ่ง การได้ติดตามไอดอล การได้ชอบใครสักคน การไปตกปลา การฆ่าคน (ก็อาจเป็นความหมายของการมีชีวิตของใครสักคนก็ได้) การเขียนโปรแกรม สำหรับผมแล้วเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ คำตอบของความหมายของการมีชีวิตของผมก็ยังคงเดิมคือ “ชีวิตแม่งไม่มีความหมายตั้งแต่ต้น เราเป็นคนใส่ความหมายให้มันเอง” แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือ ผมสามารถใส่ความหมายให้มันได้เองในเวลานี้ตอนนี้แล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือแตกต่างกับใคร

เพลงประกอบการเขียนบทความนี้

ครั้งแรกที่ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเหงาแปลกๆ พอมาดูชื่อเพลง “ฤดูฝน” โอ้ พี่ๆจะทำเพลงเป็นซีรีย์สินะ ตอนเด็กฟัง “ฤดูร้อน” โตมาหน่อยฟังฤดูฝน พอกลางคนผมคงได้ฟังเพลง “ฤดูหนาว” แน่ๆเลย ตอนนี้คงได้แต่รอเพลง ฤดูหนาว ของพี่ๆเขาต่อไป

The Disruptor

คำโปรยอย่างโหด

The Disruptor

หนังสือเล่มนี้ซื้อมาช่วงปีใหม่เพราะ SEED มีส่วนลด สำหรับใครอยากซื้อหนังสือผมก็แนะนำรอช่วงเวลาที่ SEED มีโปรโมชั่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ เพราะลดได้หลายบาทเลยทีเดียว สำหรับหนังสือเล่มนี้ขึ้น Bestseller บวกกับคำโปรยหนังสือที่เขียนว่า “อนาคตมีแค่ 2 ทาง คุณจะเปลี่ยน หรือรอให้โลกเปลี่ยนคุณ” คำโปรยนี่โคตรชวนอ่านเลย แถมไปอ่านพวก Review นี่ก็ดีมากๆก็เลยกดสั่งซื้อไป

อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คิด(คุยกัน)ไว้นี่หว่า

คือก่อนอ่านเข้าใจว่าหนังสือจะเล่าเรื่องแบบการมาแทนที่ธุรกิจสมัยก่อนด้วยระบบดิจิตอลหรือเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าจะเป็นอย่างงั้นเพราะอยากรู้ว่าเทคโนโลยีอะไรบ้างที่มาแทนที่ แล้วระดับความเข้มข้นหรือไอเดียที่ทำให้เกิดการแทนที่ได้คืออะไร แต่พอเปิดอ่านกลับกลายเป็นคล้ายๆ Blog ที่ผมกำลังเขียนนี่แหละครับ เป็นตอนๆเล่าไปเรื่อย อ้าวไม่ตรงกับที่เราอยากอ่านเลยนี่หว่า คือถ้าผมจะด่าก็คงด่าคนเขียนคำโปรยล่ะครับที่แม่งเขียนคำโปรยซะพาไปไกลเลย ครับ เมื่อไม่เป็นดังหวังเราคงทำอย่างเดียวคืออ่านครับ อ่านเพราะ 1. เสียเงินซื้อมาแล้วลองอ่านก็ไม่เสียหาย 2. ถ้าของมันไม่ดีจริงก็คงขายไม่ได้หรือไม่มีคนมา Review หรอกว่าดี 3. ทุกสิ่งสอนเราได้เสมอ ก่อนอ่านต่อผมไปอ่านว่าคนเขียนหนังสือนี้คือใครซึ่งก็พบว่าเขาคือ เจ้าของศรีจันทร์ แป้งที่มีการปรับเปลี่ยนโฉม ภาษาทางการเรียกรีแบรนด์ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับว่ารีแบรนด์มันทำอะไรบ้าง แต่เห็นบรรจุภัณฑ์เขาทำสวยดีนะ บรรจุภัณฑ์สมัยก่อนดูโบราณๆซึ่งสำหรับผมมันขลังดีนะ แต่สำหรับคนรุ่นใหม่เช่นเพื่อนๆของผมคงไม่กล้าใช้กันเพราะใช้แล้วมันดูผิดกับยุค แต่พอทำใหม่นี่คือแบบ โอ้ วางขายแข่งกับพวกของต่างประเทศได้เลยนะ ก็คนระดับผู้บริหารเขียนก็คงมีอะไรน่าสนใจลองอ่านดูละกัน

เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

เนื้อหาจะถูกเล่าเป็นตอนๆ ผมเข้าใจว่าคงคัดมาจาก Blog หรือ เขียนเป็นตอนๆส่งมาให้สำนักพิพม์ แต่ละตอนก็เล่าเรื่องต่างๆไปเรื่อยๆครับ ไม่ต่อกัน ถือเป็นการเปิดโลกให้ผมเหมือนกันเช่น การมองธุรกิจ การนำเสนอ การเตรียมตัวก่อนทำอะไรสักอย่าง การบริหารเวลาของผู้สำเร็จหลายๆท่าน การทำแบรนด์ การพัฒนาระบบงาน และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งแต่ล่ะตอนก็ว้าวดีแบบ เฮ้ย “เขาคิดกันแบบเหรอ” แต่บางตอนก็น่าเบื่อเช่นกัน สำหรับผมหนังสือก็เหมือนชีวิต มันมีจุดสนุก จุดน่าเบื่อ จุดเนือยๆ บางตอนก็อยากข้าม บางตอนก็อยากให้ยาวกว่านี้

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับเล่มนี้อ่านแล้วได้อะไร สำหรับผมก็คงได้เปิดโลกมุมใหม่ๆ ซึ่งก็คือมุมมองทางด้านธุรกิจ การมองโลก การบริหารจัดการของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งดูแล้วก็ทึ่ง แต่ผมอยากจะเตือนว่าแต่ล่ะคนต่างมีวิธีทางทีเหมาะสมกันในแต่ละคน ดังนั้นตอนที่ท่านอ่านขอให้คิดเสมอว่ามันเหมาะกับท่านไหม จริงๆอย่าใช้คำว่าคิดผมแนะนำให้ลองปฏิบัติจะดีกว่าครับว่ามันตรงกับท่านไหม
สำหรับใครที่อยากอ่านเกี่ยวกับเทคโนโลยี หรือ การเข้ามาแทนที่ระบบเก่าๆด้วยเทคโนโลยีหนังสือเล่มนี้ไม่ตอบโจทย์มากๆครับ ผมแนะนำไปหาหนังสือเล่มอื่นอ่านเลย แล้วก็การอ่านครั้งนี้สอนให้ผมรู้ว่าคำโปรยหนังสือดีๆสักประโยคก็สามารถทำให้หนังสือขายดีได้ แต่ถ้าพูดในอีกมุมนึงคือ คำโปรยหนังสือก็อาจทำให้เราเข้าใจผิดได้เช่นกันครับ

เพลงประกอบการเขียน Blog นี้

เห็นเพลงนี้มีคนในรายการ The voice เอามาร้อง ตอนฟังครั้งแรกนี่แบบคุ้นหูมาก แบบ เคยฟังที่ไหนวะ ไป Search ดูเป็นของพี่แจ้ แต่ถ้าจำไม่ผิดเราไม่ได้ฟังเวอร์ขันพี่แจ้นะ คิดไปคิดมาเลยไปเปิด Playlist เพลงที่ฟังตอนเฮิร์ตๆมาดู อ้าวเป็นเวอร์ชันพี่ปิงปองร้องนี่ที่เราเคยฟัง สำหรับลิ้งค์ใน Youtube ผมหาที่เป็นลิขสิทธิ์ไม่เจอ สำหรับใครอยากฟังแบบเพราะๆคุณภาพดี ตามลิ้งนี้ไปเลยครับ http://www.joox.com/th/th/single/YqaflYh+WnO0Iz2Mrp2_GA==

ไปงานจับมือ BNK48 ครั้งแรก

พี่จะจับมือใคร

เป็นคำถามที่รุ่นน้องผมถามตลอดในเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากผมเรียนจบ ป.โท แล้วของขวัญวันรับปริญญาที่มันให้มาคือ CD เพลงของวง BNK48 พร้อมรูปภาพ ครูแก้ว และบัตรเข้างานจับมือ จากนั้นมันก็ถามเรื่อยมาว่า “พี่จะจับมือใคร” หรือ “พี่จะจับหลายคนก็ได้นะ เดี๋ยวผมหาบัตรให้” ซึ่งเหมือนมันพยายามป้ายยาให้เข้าวงการเสียเหลือเกิน

มุมมองของคนนอกอย่างผมเกี่ยวกับการจับมือ

ถามว่ารู้จักวง BNK48 ไหม ก็บอกว่ารู้จักเพราะมีเพื่อนในกลุ่มคนนึงสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งทำวง Cover เป็นจริงเป็นจัง ตามวงประมาณนี้อยู่ด้วยเลยพอรู้ข่าว ซึ่งก็ได้แผ่นเพลง Single แรกของ BNK48 ก็จากเพื่อนคนนี้เช่นกัน แล้วก็มีเพื่อนเรียน ป.โท อีกท่านที่ติดตามเป็นจริงเป็นจังอีกท่านที่โพสต์ Facebook ให้ทราบข่าวอยู่เป็นระยะ แต่การไปจับมือนี่คืออะไรวะ นี่คือเราไปจับมือกับน้องผู้หญิงสวยๆเนี่ยนะ เฮ้ยเอาจริงดิ จับแล้วได้อะไรวะ กำลังใจเหรอ ผมก็เคยถามเพื่อนที่เรียน ป.โท ว่า เฮ้ยมันมีความสุขเหรอวะ มันอย่างงั้นอย่างงี้ ด้วยหลักเหตุผลตามประสาคนนอกวงการ (ขอไม่พูดละกันนะ) เพื่อนก็บอกว่า “ความสุขก็คือความสุขเว้ย” คำตอบที่สั้นๆง่ายๆนี้เป็นคำตอบที่ดีสำหรับคนนอกวงการอย่างผมมากในเวลานั้น

ไปก็ไปเพราะชีวิตนี้คือการทดลอง

ถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์คุณจะได้ยินคำโฆษณาความเชื่อและสิ่งต่างๆในวงการเทคโนโลยีมากมาย เช่น NOSQL ดีกว่า SQL เป็นไหนๆ ภาษานี้ดีกว่าภาษานี้ Framework นั้นดีกว่า Framework แฟนค่ายนี้ออกมาข่มอีกค่าย เอาเป็นว่ามันจะเยอะกว่า Samsung Apple ข่มกันเสียอีก ซึ่งจริงๆมันไม่มีคำว่าดีกว่า มันมีแต่ว่าอันไหนสิ่งไหนเหมาะกับเรา วิธีที่ง่ายที่สุดคือการทดลองใช้ เช่นกัน เรื่องบางเรื่องในชีวิตถ้าเราคิดว่ามันไม่ถึงขั้นเป็นตายแบบทดลองยาในมนุษย์ก็ลองเถอะ ก็เลยตัดสินใจ (จริงๆจะขายบัตรเอาเงินไปทำอย่างอื่นละ) ไปงาน

คนเยอะดี

พอไปถึงเราก็นึกว่าคนจะน้อย ไปๆมาๆคนเยอะมาก เดินมึนๆงงๆในงานว่า เฮ้ยมันเข้าทางไหนวะ พอเจอทางเข้านี่ยิ่งตกใจนี่ตรวจกระเป๋าอะไรขนาดนั้น เลยเปิดให้แม่งดูหมดเลยเพราะถามว่าตรงนั้นอะไร ตรงนี้อะไร ก็เปิดๆให้ดูเลย จะเหลือก็เปิด Notebook แล้ว Run โปรแกรม เพื่อบอกว่ากูเป็นโปรแกรมเมอร์ได้บัตรจับมือมา จะมาจับมือคนในงานเนี่ยแหละ (จะไปงานประเภทนี้แนะนำให้ไม่ต้องเอาอะไรไปมาก) พอเดินเข้าไปยิ่งงง อ้าวแล้วมันจับมือกันตรงไหนวะเห็นมีเป็นเลนๆ ซึ่งคนโคตรเยอะเข้าไปอีก โชคดีที่รุ่นน้องมันโทรมาบอกรายละเอียดวิธีการเข้าเลน

จับมือคนที่เคยเห็นในหน้าจอ

คำถามว่า “พี่จะจับมือใคร” ก็มาจบลงที่น้อง Natherine เพราะน้องเขาน่ารักบวกกับความฮาและดูเป็นกันเองของน้องเขาก็น่าจะจับมือด้วยแล้วรู้สึกว่าจับกับคนธรรมดาด้วยกัน ถามว่าเป็นแฟนคลับไหมบอกเลยว่าอย่าเรียกว่าแฟนคลับ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับน้องเขาเลย ได้รู้จักเกี่ยวกับน้องเขาก็ตอนบอลโลกล่ะมั้ง ที่เป็น “เทพธิดาชาวสวน” เพื่อนผมบางคนได้ดิบได้ดีเพราะแค่ดูว่าน้องเชียร์ทีมไหน เพื่อนผมก็สามารถบอกได้เลยว่าทีมไหนจะแพ้จะชนะ ต่อมาก็การเล่นมุกของเขาที่แบบ เอ่อ น้องจะเล่นอย่างงี้จริงๆดิ บางมุกนี่แบบ “ยังจะเล่นอีกเหรอครับ” ยอมใจจริงๆ ถามว่าดู Live ไหม บอกเลยว่าเคยดูอยู่ครั้งนึง รุ่นน้องส่งมาให้ดู ก็ดูไปสักพักก็แบบ เราแก่เกินจะดูอะไรพวกนี้ละ แต่ก็ประหลาดใจดีที่สมัยนี้เขายังไปเรียนพิเศษกันอยู่อีกนะ สมัยผม (ประมาณ 9 ปีที่แล้ว)เคยมีโอกาสได้ไปรอเพื่อนที่เรียนพิเศษก็ประหลาดใจมากที่คนไปเรียนพิเศษกันเยอะขนาดนั้น (ตอนอยู่ ม.ปลาย ผมไม่เคยเรียนพิเศษเลยเนื่องจากไม่อยากรบกวนที่บ้าน) หลังจากยืนรอใน Lane ได้ประมาณ 10 - 20 นาที จนอ่านหนังสืออิคิไกจนจบ ก็ได้คิวไปจับมือน้องเขา

เฮ้ย น้องเขาแต่งอะไรวะน่ะ น่ารักดี (แต่ไม่เท่าตอนแต่งเป็นจอมยุทธ์อะนะ) พอเดินไปจะจับมือก็แบบ น้องเขาก็ยื่นมือมาจับ ตอนนั้นก็มองไปที่นิ้วน้องเขาก็ทาเล็บสีฟ้าๆเทาๆด้วยแฮะ เออผู้หญิงก็คงจะชอบทาเล็บกันทุกคนสินะ ไม่ว่าจะคนธรรมดาหรือไอดอล จากนั้นเงยหน้ามามองน้องเขา ก็ไม่รู้จะพูดอะไร เลยปล่อยไปตามความคิดชั่วขณะนั้นก็บอกไปเลยว่า

โปรแกรมเมอร์ : “น้องน่ารักมากเลยครับ”

น้อง : “น่ารักแล้วรักมั้ยคะ”

โหเป็นครั้งแรกที่เจอผู้หญิงตอบกลับแบบนี้คือปกติจะแซวผู้หญิงว่า น่ารักจังเลยครับ ทั้งๆที่รู้ว่าแซวกันเล่นๆแต่หลายคนนี่ทำเป็นเงียบใส่ หรือ ยิ้มๆ ไม่มีใครต่อปากต่อคำเลย น้องนี่เป็นคนแรกเลยที่กล้าเล่นต่อ

ก็เลยเล่นต่อไปว่า

โปรแกรมเมอร์ : “ถ้ารักแล้วจะรักจริงๆเหรอ”

น้อง : “แล้วพี่รักไหมล่ะ”

โปรแกรมเมอร์ : “รักครับ”

น้อง : “แล้วมาใหม่อีกนะคะ”

ถือว่าเกมส์นี้โปรแกรมเมอร์แพ้ไปอย่างราบคาบ ฮ่าๆๆๆ เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่โดนผู้หญิงต่อปากต่อคำได้ขนาดนี้ จับมือเสร็จก็เดินออกจาก Lane ไปอย่างงงๆ พร้อมหยิบของที่ระลึกกลับไปอีกจำนวนหนึ่ง

จับแล้วได้อะไร

ถามว่าจับแล้วได้อะไรเหรอ อือ ผมเห็นที่สัมภาษณ์คือหลายๆคนไปจับมือเพื่อ ได้คุยกับน้อง ได้กำลังใจ ได้ความสุข ต่างๆนาๆ อือ แต่ละคนคงได้คำตอบไม่เหมือนกันเพราะแต่ละคนเป็นปัจเจกไม่มีใครเหมือนใคร สำหรับผมคงได้ความรู้สึกแปลกใหม่ การได้จับมือผู้หญิง (ผมเป็นโรคไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว และไม่ชอบโดนตัวใคร) การได้เล่นต่อปากต่อคำกับผู้หญิง (ส่วนใหญ่จะเดินหนี) ก็ถือเป็นความรู้สึกที่สนุกดี สุดท้ายคงมีคำถามว่า “จะไปอีกไหม” อือ สำหรับผมในตอนนี้ (สมัยก่อนไม่เป็นแบบนี้ อนาคตอาจจะไม่เป็นแบบนี้) ถ้าเป็นงานเชิง Logic แบบคอมพิวเตอร์ มันจะต้องมีกฏระเบียบและคำตอบที่แน่นอน ส่วนเรื่องอารมณ์ความรู้สึกผมปล่อยให้ในขณะนั้นเวลานั้นเป็นตัวตัดสินใจ ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึงตัวผมในตอนนั้นจะเป็นคนบอกเองว่าจะไปหรือไม่ไป

เพลงแทนความทรงจำ

เพลงแทนความทรงจำต้องเพลง “น่ารักแล้วรักมั้ย” คือตอนได้ฟังครั้งแรกนี่เคลิ้มเลย แบบ โอ้ยเสียงพี่แอนน่ารักแล้วก็หวานไป ตอนฟังก็คิดว่าในชีวิตเราเนี่ยจะมีผู้หญิงที่กล้าเล่นกลับแบบนี้ไหม ก็ได้มาเจอน้องเขาเนี่ยแหละที่กล้าเล่นแบบนี้

เจ้าชายน้อย - The Little Prince

“เพื่อนสนิท” สู่ “เจ้าชายน้อย”

เจ้าชายน้อย - The Little Prince

หากคุณเคยดูหนังรักไทยที่ใครหลายคนบอกว่าคนไทยแม่งทำหนังอยู่ได้ไม่กี่ประเภทหรอก ประเภทหนึ่งที่คนบ่นว่าคนไทยชอบทำก็คงไม่พ้นหนังรักเนี่ยแหละ จริงๆถ้าเขาอยากดูหนังล้ำๆหน่อยผมมีแนะนำหลายเรื่องเลยนะ เช่น Monty Python and the Holy Grail หรือ Predestination ซึ่งหลายคนที่ผมแนะนำไปดูก็มักจะบอกว่า “ส่งเหี้ยอะไรให้กูดู” ผมก็มักจะตอบว่า “หนังล้ำไม่น่าเบื่อไงล่ะไอสัด อยากดูไม่ใช่เหรอ” เอาล่ะนอกเรื่องมานาน หากใครเคยดูหนังเรื่องเพื่อนสนิทก็คงจะคุ้นๆเรื่อง “เจ้าชายน้อย” เพราะมีการพูดถึงอยู่หลายครั้งในหนัง แล้วก็เหมือนจะมีส่วนในการเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งผมก็งงว่าเฮ้ยตกลงเรื่องนี้มันพูดถึงอะไรวะ มันมีอะไรที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนการตัดสินใจได้เลยเหรอ แต่ก็เก็บความสงสัยลากยาวมานานมากๆ ซึ่งจริงแล้วเคยมีเพื่อนพูดถึงเรื่องเจ้าชายน้อยอยู่เหมือนกันว่ามันโคตรปรัชญา สอดแทรกอะไรหลายๆอย่าง แถมถ้าจำไม่ผิดเอามาฉายที่ช่อง itv หรือ thaipbs เนี่ยแหละ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากเพราะคิดว่ามันคงเป็นกระแส จนเมื่อไม่นานมานี้มีโปรโมชั่นหนังลดราคาแล้วต้องซื้อให้ถึง 600 บาทถึงจะได้ส่งฟรี ตอนนั้นซื้อไปแค่ 500 กว่าบาทเลยต้องหาหนังสือเพิ่มอีกเล่ม พอดีกับเหลือบไปเห็นหนังสือเจ้าชายน้อยราคาประมาณ 180 ก็เลยสั่งมาเพื่อให้ได้สิทธิ์ส่งฟรี

เด็กกับผู้ใหญ่

หนังสือเกริ่นนำถึงการเป็นเด็ก เด็กมักจะเห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นซึ่งผู้เขียนอธิบายด้วยเรื่องภาพวาดของงูที่กินช้าง คือเด็กเข้าใจว่าภาพนั้นคืออะไรแต่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ พอเด็กวาดอธิบายแบบเต็มๆผู้ใหญ่ก็กลับไม่สนใจเพราะมันเป็นเรื่องไร้สาระเป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมก็มองอย่างงั้นจริงๆนะ เพราะงูบ้านไหนมันจะกินช้างได้ และรูปแรกที่เด็กวาดเป็นรูปอะไรก็ไม่รู้ที่มองยังไงก็เป็นหมวก สำหรับบทนี้ผมมองว่าผู้ใหญ่ก็สมควรบอกแบบนั้น แต่ในบทต่อๆไปพูดได้น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงพระราชา นักภูมิศาสตร์ ขี้เหล้า นักบัญชี คนจุดไฟ ที่แทนผู้ใหญ่ในแต่ละกลุ่มในมุมมองของเด็ก ซึ่งถ้าเราได้อ่านและมองในมุมของเด็กแล้ว ผู้ใหญ่ดูเป็นอะไรที่แปลกประหลาด ไมว่าจะเป็นนักภูมิศาสตร์ที่ไม่ยอมออกไปสำรวจโลกทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนจดบันทึกเรื่องสำคัญต้องรอให้นักเดินทางมาเล่าเรื่องให้ฟังโดยที่ไม่รู้ว่าจริงไหม หรือนักบัญชีที่หาสิ่งมาครอบครองเต็มไปหมด อยากได้อยากมีเรื่อยๆ ขี้เหล้าที่อยากลืมบางเรื่องด้วยการกินเหล้า ตรรกะของพวกผู้ใหญ่ในมุมมองเด็กนี่คือตัวประหลาดชัดๆ

ดอกกุหลาบ

มีตอนนึงในเรื่องพูดถึงดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบที่มาโผล่ที่ดาวของเจ้าชายน้อย อ่านๆไปก็หมันไส้ตัวดอกกุหลาบมากๆ จนมาถึงช่วงนึงที่เจ้าชายน้อยพูดถึงว่า เขารู้สึกเสียใจเกี่ยวกับเรื่องดอกกุหลาบ เขารำคาญดอกกุหลาบเพราะคำพูดแต่สิ่งหนึ่งที่เขาลืมไปคือสิ่งที่ดอกกุหลาบทำให้กับเขา เขาตัดสินดอกกุหลาบจากคำพูด แต่ลืมคิดถึงสิ่งที่ดอกกุหลาบทำให้กับเขา การที่ดอกกุหลาบทำให้เขามีความสุข การที่ดอกกุหลาบคุยกับเขา แบ่งปันช่วงเวลาด้วยกัน เรื่องนี้ก็บาดใจเหมือนกันนะเรามักตัดสินคนอื่นจากคำพูดหรือการกระทำบางอย่าง แต่ลืมสนใจหลายๆสิ่ง มันเหมือนเรื่องจุดดำในวงกลมขาวที่เราสนใจจุดดำซึ่งเล็กนิดเดียวแต่กลับละเลยวงกลมสีขาวทั้งหมด ซึ่งแม้เราจะถูกสั่งสอนว่าให้สนใจวงกลมสีขาว แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าทุกคนจะทำตามคำสอนที่ฟังมาสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละคนก็ย่อมมีความคิดความอ่านของตัวเอง

ทำให้เชื่อง

บทนึงพูดถึงหมาจิ้งจอกและการทำให้เชื่องซึ่งเป็นการอธิบายได้ดีว่าการทำให้เชื่องคือการที่เราทำให้บางสิ่งเกิดความสำคัญขึ้นมา ว่าง่ายๆมันคือการสร้างความสัมพันธ์ คนมีเป็นล้านๆแต่ละคนไม่ใช่คนสำคัญของอีกคน แต่เมื่อเราใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนช่วงเวลาที่ย้อนกลับไม่ได้ร่วมกัน ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ขึ้นมา ทำให้คนที่จะเหมือนกันเป็นล้านๆคน กลายเป็นคนคนเดียวของอีกคน ผมเคยมีความรู้สึกแบบนี้ตอนอยู่ในงานค่ายตอนเรียนอุดมศึกษา ได้เห็นน้องจากไหนไม่รู้มาใช้เวลาร่วมกันพอจบค่ายแต่ละคนกลายเป็นคนสำคัญของกันและกันไปซะอย่างนั้น เวลาเราใช้เวลาร่วมกันกับใครแบ่งปันความรู้สึกดีๆร่วมกัน เราจะกลายเป็นคนสำคัญของอีกคนนึงไปนี่อาจจะเป็นนิยามความสัมพันธ์แบบง่ายๆที่เราพยายามหาก็ได้ ประเด็นมันคือเมื่อใดที่เราสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา เราจะกลายเป็นคนรับผิดชอบความสัมพันธ์นั้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะสุข เศร้า งอน รัก และหลายๆความรู้สึก เพราะเขาเป็นคนสำคัญที่มีเพียงหนึ่งเดียวของคุณแล้วยังไงล่ะ

สิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา

สำหรับผมบทสุดท้ายกับประโยคนี้เป็นการปิดจบได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว บางครั้งผมก็สงสัยที่คนบางคนให้ความสำคัญกับบางอย่างที่ผมเห็นด้วยตาแล้วมองว่า อะไรวะ แต่สำหรับบางคนเขามองมันแล้วทำให้เขาคิดถึงบางอย่าง พออ่านถึงตรงนี้ผมนึกถึงหนังเรื่องนึงขึ้นมาซึ่งก็คือเรื่อง ข้างหลังภาพ ที่ตอนจบพระเอกมองดูภาพภาพหนึ่ง แล้วภรรยาของเขาถามว่าภาพธรรมดาภาพนี้มีอะไรเหรอ สิ่งที่ทั้งสองเรื่องต้องการจะสื่อคงจะเหมือนกัน

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับเล่มนี้อ่านแล้วได้อะไรนั้น สำหรับผมคงได้ฉุกคิดการถึงการกระทำอันวิปลาสของผู้ใหญ่อย่างผมที่เป็นเหมือนคนจุดไฟบ้าๆทำงานวนไปวนมา ไม่รู้จักจบสิ่น หรือ เหล่านักบัญชี เหล่านักภูมิศาตร์ ที่ทำอะไรแบบวิปลาสในมุมมองของเหล่าเด็กๆ การมองไปที่เด็กๆว่าเรื่องที่เราคิดว่าเด็กไร้สาระ อาจจะเป็นเรื่องที่มีความหมายก็ได้ การพูดถึงความสัมพันธ์ที่เข้าใจง่ายที่เราเปลี่ยนใครไม่รู้ให้กลายเป็นคนสำคัญในชีวิต การพูดถึงสิ่งที่ตามองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นต้องใช้อารมณ์ความรู้สึกสัมผัสมัน

เพลงประกอบการเขียนบทความ

จริงๆบทความนี้ก็ฟังหลายเพลงนะ แต่เพลงที่เล่นขึ้นมาตอนเขียนแล้วแบบเฮ้ยความหมายมันใช่คือเพลง ความคิด เพราะท่อนแรกเลย ยังเดินผ่านทุกวันที่ที่เราพบกันเมื่อก่อน ถ้าเป็นคนอื่นเขาใช้ตามองมันก็คงเป็นสถานที่ธรรมดา แต่หากเป็นคนใช้ความรู้สึกมอง ที่ที่นั้นจะหมายถึงบางสิ่งบางอย่าง อาจจะหมายถึงความรัก อาจจะหมายถึงความเศร้า อาจจะหมายถึงคนสำคัญ ดังที่หมาจิ้งจอกมองทุ่งข้าวสาลี ผู้แต่งหนังสือที่มองไปที่ดวงดาว

ความทรงจำปี 2018

ปี 2018 ที่ผ่านมา

สำหรับปีนี้ก็ถือว่าเป็นอีกปีที่ผ่านมาในชีวิต ถ้าถามว่าชีวิตได้เรียนรู้อะไรเพิ่มไหม ตอนนี้ก็บอกไม่ได้เหมือนกันนะว่าได้เรียนรู้อะไร แต่ปีนี้ก็จะได้ทำอะไรหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระ หรือมีสาระ

ทำงานตั้งแต่ปีใหม่

ปีนี้เป็นปีที่ทำงานตั้งแต่วินาทีแรกเลยเพราะต้องดูแลระบบเกี่ยวกับนำเข้าส่งออก ที่แม่งมีการแก้ไขกันตอนปีใหม่ซึ่งต้องนั่งแก้ปัญหากันยันตี 3

ได้ไปดูหนังกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ

ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ไปดูหนังกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ซึ่งก็ดันไปดูหนังที่ตัวเองไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ไปทำอะไรบ้าๆบอๆไม่เป็นตัวเอง แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆช่วงนึง ได้เห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบในมุมที่ไม่เคยเห็น ผมชอบที่เธอบอกว่า “เรานี่ไงนางเอก” พร้อมทำท่าทางน่ารัก

โดนเทจากผู้หญิงที่ชอบแบบงงๆ

ก็ถือเป็นอีกครั้งที่เจ็บปวดกับเรื่องรัก อยู่ดีๆผู้หญิงที่ชอบก็ Block ทุกช่องทางการติดต่อ หายไปแบบไม่รู้ว่าผิดอะไร เป็นครั้งแรกที่ร้องไห้เพราะเรื่องนี้มากขนาดนั้น ต้องโทรไปหาเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักเพื่อขอคำปรึกษาเลยทีเดียว

จบ ป.โท

ถือว่าเป็นการจบที่เรื่องที่ตัวเองผูกขึ้นมาเอง ตอนแรกนึกว่าจะเรียนง่ายๆทำวิจัยแล้วให้ได้ผลลัพธ์แล้วก็จบ ไปๆมาๆต้องลากยาวทำ Paper ไปงาน Conference ต้องทำอะไรมากมายหลายอย่าง ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบ ตอนแรกว่าจะลาออกละ แต่ก็ได้อาจารย์ช่วยเหลือจนพยายามจบมาได้

ได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต

ได้ไปประเทศที่ตัวเองได้ยินแต่ชื่อมาตั้งแต่เด็ก ได้ไปเห็นบ้านเมืองที่คนส่วนนิยมชมชอบกัน ได้กินอาหารต้นตำรับของเขา ได้เดินเที่ยวมั่วๆในสไตล์ของตัวเองในญี่ปุ่น ได้แช่น้ำพุร้อนซึ่งไม่เข้าว่ามึงจะแก้ผ้าแช่กันทำพระแสงของ้าวด้ามยาวอะไร ได้ไขกาชาปองซึ่งได้ Megaman กับ Yugi แล้วก็ตำนานเทพประยุทธ์ ซึ่งได้ตัวที่ตัวถูกใจทุกตัว ถ้ามีโอกาสให้ไปไปไหม ก็ถ้าให้ไปฟรีอะไป แต่ถ้าจะให้เสียเงินไปก็ขอดูแบบละเอียดก่อนละกัน

ได้ไปจีนครั้งแรกในชีวิต

ไปจีนครั้งนี้ต้องขอบคุณบริษัทที่ได้พาไป ไปที่นี่ได้เห็นบ้านเมืองของเขาตอนแรกนึกว่าเขาจะอยู่กันแบบจอมยุทธ์กัน ใส่ชุดแบบโบราณๆ พอไปจริงๆเขาก็คล้ายๆบ้านเราเนี่ยแหละ ในเรื่องเทคโนโลยีนั้นเขาพัฒนาไปไกลมากซึ่งมากจนน่าตกใจ แถมไปจีนรอบนี้ไปตอนหน้าหนาวบอกเลยว่าชีวิตนี้พึ่งเคยได้หนาวเจออากาศหนาวแบบติดลบเล่นเอาคิดถึงประเทศไทยเลยทีเดียว

ได้ไปสิงคโปร์ครั้งแรกในชีวิต

ต้องขอบคุณบริษัทอีกครั้งที่ทำให้ได้ไปต่างประเทศ ได้ไปเห็นประเทศที่เคยได้ยินแต่เด็กว่าเป็นเกาะ ได้เห็นบ้านเมืองที่ดูทันสมัย ได้ไปเห็นเทคโนโลยีใหม่ๆในงาน IBM ได้ไปนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันกับ ดร. ได้รู้ว่าภาษาอังกฤษตัวเองห่วยขนาดไหน แต่ไปรอบนี้ไม่ได้ถ่ายกับสิงโตพ่นน้ำนะ

อ่านหนังสือนอกสาย

เนื่องจากเฮิร์ตเรื่องรักเลยเอาตัวเองไปทำอะไรใหม่ ซึ่งอย่างหนึ่งในอะไรใหม่ๆที่ได้ทำคือการอ่านหนังสือนอกสายซึ่งปกติจะไม่ค่อยอ่านหนังสือพวกนี้เท่าไหร่ เพราะมองว่าไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่พอได้เริ่มอ่านแล้วสนุกมากเหมือนได้เห็นโลกอีกมุม ยิ่งพวกหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณนี่สนุกดีแท้เพราะเราจะได้สนุกกับการต่อสู้ระหว่างความรู้สึก(หนังสือ)กับหลักเหตุผล(ความรู้ที่มีมาแต่อดีต)

ดูละครเวที

เพราะเฮิร์ตก็เลยไปหาอะไรทำ ซึ่งตอนนั้นมีโปรแกรมละครเวทีฟรีที่จุฬา(ซึ่งน่าจะเป็นโปรเจคจบ) ก็เลยไปจองตั๋วฟรีไปดูคนเดียวแบบช่างแม่ง ได้ไปนั่งในห้องที่ไม่มีใครรู้จัก ผมว่ามันพีคกว่าดูหนังคนเดียวนะ เพราะในโรงละครส่วนใหญ่เขารู้จักกันซึ่งจะมีก็แต่เราที่ไม่รู้จักใคร ได้ไปดูละครอาร์ตเหี้ยๆที่แม่งดูจบแล้วยังไม่เข้าใจว่าสื่ออะไร ได้ดูละครที่จบอยากจะให้เอาไปฉายแทน MAZE RUNNER ได้ ได้รู้สึกงงๆที่ทั้งโรงละครหัวเราะแต่เราไม่หัวเราะ ได้ดื่มด่ำบรรยากาศการเดินในจุฬาตอนเที่ยงคืน ก็รับรองว่าปีหน้าถ้ามีโอกาสก็จะไปดูเรื่อยๆ

เลื่อนตำแหน่ง

ปีนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Senior developer ก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะจริงๆก็ไม่ได้ทะเยอทะยานอะไรมาก แค่ทำงานที่ตัวเองรักไปเรื่อยๆ ได้ลองอะไรใหม่ๆ แต่ก็ดีเหมือนกันได้เลื่อนตำแหน่งทำให่เงินเดือนเพิ่มทำให้ซื้อหนังสือได้มากขึ้น ได้เอาเงินซื้อกับข้าวอร่อยๆให้ที่บ้านได้มากขึ้น ปีหน้าถ้าโชคดีได้เลื่อนขั้นอีกก็คงดี จะได้เอาเงินไปซื้อของให้คนที่บ้าน

ปวดหัวไปกับงาน

ปีนี้ถือว่าปวดหัวไปกับงานมากเพราะต้องไปรับงานคนอื่นมาดูแลเยอะมากๆ งานของตัวเองก็ไม่มีซึ่งมีแต่ก็ไม่มีคนใช้ บางครั้งก็เบื่อไม่อยากพูดในหลายๆเรื่อง แต่บางครั้งก็ต้องพูด ซึ่งการพูดแต่ละครั้งใส่อารมณ์ทุกครั้ง บางทีก็เริ่มเบื่อเหมือนกันแต่ก็คงต้องหาวิธีแก้ไขกันต่อๆไปในอนาคต

เคลียใจครั้งแรกกับผู้หญิงที่ชอบ

ถ้าอ่านที่ผมเขียนก็คงจะรู้ว่าเฮิร์ตซึ่งก็เฮิร์ตในระดับกระจอกสำหรับคนอื่น แต่เรื่องมันไม่จบเพราะมันมีคำถามที่ไม่มีคำตอบ สุดท้ายก็ได้เคลียกับเธอคนนั้นว่าตกลงเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนั้น พอเคลียกับเธอแล้วเหมือนชีวิตได้ปลดปล่อยจากคำถามที่ถามตัวเองทุกวัน

ได้ถามชื่อสาวที่ไม่รู้จัก

เป็นครั้งแรกที่กล้าถามชื่อผู้หญิงที่ไม่รู้จัก อันนี้เป็นความกล้าแบบบ้าๆบอๆ ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะน้องเขาไม่ตอบ แต่อย่างน้อยก็กล้าถามน้องเขาอะนะ ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสได้เจอกันอีกก็คงจะถามน้องเขาอีกรอบ

สรุป

ปีนี้ได้ทำอะไรบ้าๆบอ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอารมณ์บ้าง ถ้าถามว่าพัฒนาอะไรไหมปีนี้ ก็สามารถบอกได้เลยว่าไม่ได้พัฒนาอะไรเลย ฝีมือการเขียน Code ก็เท่าเดิม เรื่องที่รู้ขึ้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก ไม่รู้จะไปทางไหนต่อกับชีวิต ปีหน้าก็คงต้องค้นหาต่อไป แต่ปีนี้มีเรื่องที่ตัวเองคิดว่าพัฒนาคือ “สกิลปากหมา” ที่พัฒนาจนสามารถพูดได้ตลอดเวลา แล้วก็เรื่องการมอง “ทุกข์สุข” ที่พัฒนาขึ้นในระดับหนึ่ง ต้องขอบคุณหนังสือของ OSHO หลายๆเล่มที่ทำให้เริ่มมองโลกประหลาดขึ้น ถ้าถามว่าปีนี้มีความสุขไหมก็ขอตอบเลยละกันว่า “มันเป็นอดีตไปแล้ว” ถ้าเราไม่เปรียบเทียบกับอดีตเราจะไม่มีทุกข์ไม่มีสุข หรือจริงๆความสุขที่เราโหยหาอาจจะเป็นแค่การอยู่กับปัจจุบัน