นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ - Narcissus and goldmund

นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ - Narcissus and goldmund

นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ - Narcissus and goldmund

หลังจากได้อ่านเรื่อง “สิทธารถะ” แล้วรู้สึกประทับใจอย่างมากเลยจดชื่อผู้เขียนซึ่งก็คือ “Hesse, Hermann” แล้วไป Search ต่อดูว่ามีหนังสือเล่มไหนที่เขาแต่งอีกบ้าง ซึ่งก็ได้เจอกับเรื่อง “นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์” ที่ยังไม่มีคนยืม ซึ่งพอมาเห็นขนาดของหนังสือแล้วหนากว่าสิทธารถะเกือบ 2 เท่า ก็เล่นเอาหวั่นใจเหมือนกันว่าจะอ่านจบไหม แต่พอได้เริ่มอ่านก็รู้สึกสนุกหยุดไม่อยู่อยากจะรู้ความเป็นไปของตัวละครว่าสรุปสุดท้ายชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร

ชายสองคนที่แตกต่าง

นาร์ซิสซัส ชายหนุ่มผู้คงแก่เรียนแม้อายุยังน้อยแต่มีความรู้เทียบเท่ากับนักบวชชั้นสูงที่มีอายุมากกว่านาร์ซิสซัสมุ่งมั่นในทางธรรม ต้องการจะรับใช้พระเจ้า เดินตามทางของพระเจ้าที่บริสุทธ์ ส่วน โกลด์มุนด์ เด็กหนุ่มที่ถูกพ่อส่งมาเรียนที่วัดเพื่อหวังให้เป็นบวชเป็นพระรับเจ้าพระผู้เป็นเจ้า โกลด์มุนด์เป็นหนุ่มรูปงาม ประมาณว่าหญิงเห็นแล้วต้องมอง ถ้าเทียบความหล่อสมัยนี้ก็คงหนุ่มเกาหลีที่สาวไทยเห็นแล้วกรี๊ดนั่นแหละ นอกจากรูปงามแล้วโกลด์มุนด์ยังเป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับคนง่าย ดังนั้นเขาจึงเป็นที่รักใคร่ของทั้งเหล่านักบวชและเพื่อนที่เรียนร่วมกัน แตกต่างจากนาร์ซิสซัสที่เป็นคนเงียบขรึม พูดคุยกับคนเท่าที่จำเป็น จึงทำให้สองคนนี้มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่ความแตกต่างนี้กลับดึงดูดกันและกัน นาร์ซิสซัสมองเห็นความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับโกลด์มุนด์ เขามองเห็นว่าโกลด์มุนด์นั้นไม่เหมาะกับการที่จะเป็นนักบวช แต่การที่มาอยู่ที่นี่นั้นเป็นเพราะถูกพ่อปลูกฝังให้อยากเป็นนักบวช เขาจึงพยายามเฝ้ามองและชี้นำให้โกลด์มุนด์เลือกทางที่ตัวเองควรเป็น ส่วนโกลด์มุนด์หลงใหลในความเก่งของนาร์ซิสซัส อยากเก่ง อยากรับใช้พระเจ้าแบบนาร์ซิสซัส ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนผู้มีความแตกต่างจึงเริ่มสนิทกัน

นิยายเกย์ปะวะ

เอาจริงๆผมอ่านช่วงบทแรกๆนี่โคตรหวั่นเลยนะว่าจะกลายเป็นนิยายเกย์ (ผมไม่ได้บอกว่านิยายเกย์ไม่ดี แต่ผมไม่ได้คาดหวังอ่านแนวนี้จากหนังสือเล่มนี้) แต่มันเป็นอะไรที่หักจากที่คิดไปเยอะมาก เล่นเอาซะแบบนิยายรักแนว Playboy หนุ่มเจ้าสำราญนี่กระจอกไปเลย ถ้าอยากรู้ว่าทำไมลองไปหาอ่านดูครับ คุณจะรู้ถึงความสุดในการดำเนินชีวิตของคนคนนึง เป็นชีวิตสุดขั้วที่ผมคิดว่าน่าจะลองใช้บ้าง

การใช้ชีวิตไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว

ในเรื่องนี้พยายามบอกเราว่าการใช้ชีวิตนั้นไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว ผ่านการที่นาร์ซิสซัสพยายามชี้ให้โกลด์มุนด์เห็นว่าเขาไม่เหมาะกับการเป็นนักบวชและควรไปใช้ชีวิตแบบที่เขาควรจะเป็น ซึ่งเป็นการบอกผู้อ่านเป็นนัยๆว่า เฮ้ นาย ชีวิตนายไม่จำเป็นต้องเดินตามทางที่คนในสังคมบอกว่าดีนะ เช่น การบวชเป็นนักบวช เป็นหมอ เป็นทนาย เป็นแพทย์ นายควรเดินหาทางนั้นด้วยตัวเอง ทางที่นายคิดว่าดีที่เหมาะสมกับตัวนายเอง

ทุกการใช้ชีวิตมีข้อดีข้อเสีย

หนังสือไม่ได้สรรเสริญเยินยอการใช้ชีวิตแบบนักบวช ดูได้จากการเล่าเรื่องที่ชื่อหนังสือจะชื่อว่า นาร์ซิสซัสกับโกลด์มุนด์ เหมือนเรื่องจะเน้นหนักไปที่นาร์ซิสซัสที่ชื่อขึ้นก่อน แต่กลายเป็นหนังสือเล่าเรื่องของโกลด์มุนด์เยอะมาก เยอะจนแบบคนที่ชอบนาร์ซิสซัสอย่างนี่รอจนเหงือกแห้งเลยกว่าจะโผล่ออกมา หนังสือเล่าการใช้ชีวิตของโกลด์มุนด์ว่าต้องเจอกับอะไร บางเรื่องเป็นเรื่องโคตรน่าอิจฉา แต่บางเรื่องก็น่าเวทนา ทุกอย่างมีได้มีเสีย สิ่งที่เสียทดแทนสิ่งที่ได้ ทั้งสองมุมทำให้ทุกอย่างสมดุล เป็นการบอกเราว่าคุณเลือกจะใช้ชีวิตแบบไหน คุณก็ต้องเตรียมรับสิ่งที่คุณไม่ชอบที่มาจากการใช้ชีวิตแบบนั้นด้วย

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับเล่มนี้อ่านแล้วทำให้เราเห็นว่าเราควรใช้ชีวิตตามทางที่เหมาะสมกับตัวเรา เราควรศึกษาตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหน ซึ่งการศึกษาตัวเองอาจจะเป็นการลองใช้ชีวิตเพื่อดูว่าใช่ไหม เราชอบไหม สนุกไหม กับการใช้ชีวิตแบบนั้น แต่หนังสือก็เตือนเหมือนกันว่าการใช้ชีวิตในรูปแบบนั้นอาจพบพากับเรื่องที่คุณอาจจะไม่ชอบ นำพาปัญหา ความเจ็บปวด ทั้งทางกายและทางใจมาให้กับเราเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเลือกแล้วควรจะเตรียมพร้อมรับทั้งสุขและทุกข์ เรียนรู้ว่าการจะใช้ชีวิตแบบนั้นต้องทำอะไรบ้าง จริงๆมันมีเรื่องที่น่าเล่ามากมาย มุมมองของโกลด์มุนด์ที่อยากจะเล่าให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงนั้นรักเขาแต่ทำไมต้องกลับไปหาผู้ชายที่ทุบตีเธอ ความสุขของการลงหลักปักฐานกับการพเนจรที่แตกต่างกัน การรักใครสักคนโดยไม่หวังผลตอบแทนและหวังผลตอบแทน ความหวังและความสิ้นหวัง การยอมตายเพื่อบูชาศักดิ์ศรีนั้นมีค่าอะไร ทำไมถึงต้องทำ บางครั้งชีวิตก็มีค่ามากพอที่จะฆ่าคนอื่นเพื่อให้ได้มีชีวิตอยู่ แต่บางครั้งมันกลับไม่มีค่าจนไม่ยอมจะมีชีวิตอยู่ต่อ ทั้งที่ชีวิตนั้นคือชีวิตเดียวกัน แค่ต่างเวลาต่างประสบการณ์ มันมีเรื่องน่าสนใจที่คุยกันได้สนุกมาก แต่ถ้าเล่าแล้วเนี่ยมันจะสปอยเนื้อเรื่องและทำให้พอคุณไปหามาอ่านแล้วความสนุกมันจะลดลง ดังนั้นไปหามาอ่านกันเถอะครับ ผมเชื่อว่าการอ่านแล้วน่าจะให้อะไรกับคุณเยอะอยู่เหมือนกัน ส่วนข้อเสียของหนังสือเล่มนี้คือเขาบรรยายเรื่องสภาพแวดล้อมและอารมณ์เยอะมาก ถ้าคนเป็นคนพวกที่ชอบอ่านแล้วคิดตามให้เห็นภาพน่าจะชอบ แต่ผมเป็นพวกอ่านแล้วเอาเนื้อเรื่อง เอาความสนุกจากบทสนทนาและการหักกันด้วยความคิด พอมาเจอแบบนี้แล้วทำให้อ่านบางส่วนแล้วรู้สึกโคตรน่าเบื่อเลยทีเดียว

Mook - Wisdom

ทำไมน้องคนนี้หน้าคุ้นจัง

ทำไมน้องคนนี้หน้าคุ้นจัง เป็นความคิดแรกที่ได้เห็นหน้าน้องคนนี้ ซึ่งคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าไปเห็นที่ไหน ไอดอลเก่ารึเปล่า หรือเคยเป็นรุ่นน้อง หรือเคยแสดงละครที่ไหนรึเปล่า ก็เลยเป็นที่มาของการไปเชกิครั้งกับน้องเขา ซึ่งก็ถามน้องเขาไปว่า เคยทำอะไรแบบนี้รึเปล่าซึ่งน้องก็ตอบว่า “ไม่เคยเลย” เคยแต่เป็นพิธีกรแต่พี่ไม่น่าเคยได้ดูหรอก

จริงๆเรื่องมันควรจบแค่ถ่ายรูปกับน้องเขาแล้วได้คำตอบแล้ว และน้องเองก็ไม่ใช่สายที่ชอบซะด้วย (แนวที่ชอบคือสาวแว่น) แต่พอได้เจอความน่ารัก คุยเก่ง ด้วยแล้วก็เลยคิดว่ารอบหน้าลองทำความรู้จักเพิ่มอีกดีกว่า

ยิ่งตามยิ่งเจอความน่ารัก

น้องมุกเป็นผู้หญิงที่น่ารัก ตลก แถมชวนคุยเก่ง ตอนแรกดูเหมือนโก๊ะๆ เป็นผู้หญิงที่ไม่คิดอะไรมาก แต่พอได้ทำความรู้จักจะเห็นว่าน้องมุกเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลมากๆ เป็นความแปลกที่หายากในผู้หญิงทุกคนที่เคยรู้จักมา เพราะปกติเจอคนที่มีเหตุผลมากๆก็จะเป็นผู้หญิงเงียบๆไม่ค่อยคุยสักเท่าไหร่

พอได้ติดตามไม่ว่าจะเป็นไปเชกิ ดูไลฟ์ วิดีโอคอล ก็ยิ่งชอบความเป็นตัวเองของน้องมุก เดี๋ยวน่ารัก เดี๋ยวมีเหตุผล ดูเป็นผู้ใหญ่และเด็กในเวลาเดียวกัน ได้เห็นความสดใสความน่ารักในการใช้ชีวิตของน้องเขาก็ถือเป็นพลังบวกที่เข้ามาในชีวิตคนที่ปล่อยพลังงานลบตลอดเวลา

เวลาการเป็นไอดอลมันสั้น

เพื่อนผมคนนึงที่อยู่ในวงการไอดอลมานาน (ตามทั้งไทย ทั้งญี่ปุ่น) พูดเสมอว่า เวลาการเป็นไอดอลมันสั้น อยากทำอะไร อยากเจอเขา อยากให้ของขวัญเขาก็ทำซะ ซึ่งก็จริงอย่างเพื่อนว่าเพราะไอดอลที่ผมตามเนี่ยอยู่ประมาณ 1 ปี กับน้องมุกก็เช่นกัน จริงๆก็เสียดายเพราะยังอยากจะทำความรู้จักกับน้องเขามากกว่านี้ ก็เลยนึกถึงเรื่องที่ตัวเองอยากทำ เออให้ของขวัญลาน้องเขาหน่อยดีกว่า แต่จะซื้อตุ๊กตาก็ไม่ค่อยอยากซื้อเท่าไหร่ เพราะคนน่าจะซื้อให้เยอะแล้ว เลยลองมานึกดูว่าชอบอะไรบ้าง เลยนึกได้ว่าน้องเคยเล่าว่าชอบอ่านหนังสือที่ร้านหนังสือ ก็เลยตัดสินใจเป็นให้หนังสือดีกว่า คราวนี้คำถามถัดไปคือหนังสืออะไรดีล่ะ พอมานึกดูน้องเคยเล่าต่อว่าเคยอ่านเจ้าชายน้อย ซึ่งเจ้าชายน้อยคือหนังสือปรัชญา ถ้าพูดถึงหนังสือปรัชญาที่เราอ่านแล้วชอบที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่อง “สิทธารถะ” ซึ่งเป็นหนังสือที่มอบมุมมองที่แตกต่างที่หนังสือส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึงกัน พอได้หนังสือคราวนี้ก็คิดต่อว่าจะให้อะไรอีกดี พอมองไปที่กองของขวัญที่เตรียมไว้ใช้ในอนาคต (ปกติผมชอบซื้อของที่ตัวเองเห็นแล้วชอบมาเก็บไว้ เผื่อได้ใช้เป็นของขวัญให้ใครสักคน) แล้วเห็นที่คั่นหนังสือที่ซื้อมาจากจีน โอเคได้ของขวัญอีกชิ้นละ สุดท้ายจะเอาไปให้เลยมันก็ดูแปลกที่ไม่ห่ออะไรเลย แต่ถ้าจะห่อแบบธรรมดาโดยให้คนอื่นห่อให้มันก็ไม่ใช่ตัวผม ปกติผมจะให้ของใครผมจะพยายามทำมันด้วยตัวเอง เป็นอีโก้บ้าๆที่คิดว่าถ้าเราพยายามทำอะไรสักอย่างด้วยความตั้งใจแม้มันจะไม่สวย คนรับน่าจะสัมผัสได้ (ซึ่งไม่มีใครรู้หรอก) ก็เลยตัดสินใจห่อเองโดยใช้ผ้าแบบญี่ปุ่น เพราะผู้มันนุ่มนิ่มและยังให้ผ้ากับน้องด้วย เผื่อน้องจะเอาไปห่อต่อหรือเอาไปทำผ้าเช็ดหน้า

พอทำทั้งหมดแล้วก็รู้สึกว่ายังขาดอะไรไปซึ่งนั่นก็คือการ์ดอวยพร พอคิดว่าจะต้องเขียนด้วยมือแล้วความคิดที่โผล่ขึ้นมาคือ “ไม่น่ารอดว่ะ” ก็เลยเปลี่ยนไปเป็นทำเป็น Web ดีกว่า ก็เลยทำเว็บขึ้นมา Web นึงให้น้องเข้ามาอ่านแทนการ์ดอวยพร

วันงาน

วันงานวันนั้นก็ไปถ่ายเชกิกับน้องตามปกติ แล้วก็นั่งดู Last stage ที่น้องขึ้นแสดง ซึ่งวันนี้ได้อยู่ตรงกลางเด่นมาก วันนั้นน้องเต้นได้น่ารักมาก(มีเต้นผิดด้วย ฮ่าๆๆๆๆ) หลังจากแสดงเสร็จเราก็ไปเชกิกับน้องอีกรอบ

โปรแกรเมอร์ : รูปนี้น่าจะรูปสุดท้ายแล้วนะ

น้องมุก : ใช่น่าจะรูปสุดท้ายแล้ว

โปรแกรมเมอร์ : พี่คงไม่ได้เจอเราอีกแล้วสิ

น้องมุก : เศร้าเลย เก็บรูปไว้ดูนะคะ

โปรแกรมเมอร์ : พี่มีของจะให้

น้องมุก : โหอะไรอะ ห่อเองเลยเหรอ แกะเลยได้รึเปล่า

โปรแกรมเมอร์ : ใช่พี่ห่อเองแหละ อาจจะไม่สวยนะ ในนั้นมี QR Code อย่าลืม Scan นะ

น้องมุก : เดี๋ยวค่อยแกะ ไว้เดี๋ยวจะแสกนนะ

โปรแกรมเมอร์ : แล้วเจอกันใหม่ในโอกาสหน้านะ

จริงๆก็ไม่ควรประโยคทีว่า “แล้วเจอกันใหม่ในโอกาสหน้านะ” เพราะผมคิดว่าผมคงไม่มีโอกาสได้เจอน้องเขาอีกแล้วแหละ เพราะคนที่อยู่แต่บ้าน ที่ทำงาน และห้องสมุด (พึ่งเป็นสมาชิกได้ไม่นาน) คงไม่มีได้เจอกับน้องเขาแน่นอน

กลับสู่ความจริง

การไปงานไอดอลอะไรพวกนี้เหมือนการไปเที่ยว เป็นการไปพักผ่อน ไปคุยกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ แต่พอเวลาหมดก็เหมือนต้องกลับไปอยู่กับความจริง ต้องไปทำงานที่แสนน่าเบื่อ ไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อน แถมรอบนี้ยังแย่กว่าเดิมตรงที่เราไม่สามารถเจอน้องเขาในรูปแบบนี้ได้อีกแล้ว จริงๆผมอยากจะเขียนมุมมองของผมต่อการมาทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่รอคนที่ตามเลิกเป็นไอดอลและผมเลิกทำอะไรแบบนี้แล้วค่อยมาเขียนสรุปทีเดียว ก็เลยรู้สึกเศร้าๆแบบแปลกๆ

อย่างน้อยก็อ่าน

วันต่อมาก็นึกขึ้นได้ว่า เฮ้ย ไอ QR ที่ให้ไปน้องจะ Scan เข้าไปได้หรือเปล่า ก็เลยตัดสินใจส่ง Link ไปให้น้องเขาทาง Inbox (กันดราม่า เวลาที่ส่งคือน้องจบออกจากวงแล้ว ผมเลยสามารถส่ง Message ไปคุยกับน้องได้ ไม่ผิดกฏนะครับ) ไม่นานน้องก็ตอบมาว่า “อ่านแล้ว ขอบคุณพี่มากๆเลยนะคะ” พอเห็นว่าน้องเขาไปอ่านแล้วก็รู้สึกดีใจที่น้องได้อ่าน อะไรที่เราอยากทำเราทำไปหมดแล้ว ในอนาคตถ้าผมมองกลับมาผมก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว

101 กลวิธี ทำอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน - รู้ทันคนเพื่อไม่ให้เสียเปรียบใคร ต่อรองอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน

101 กลวิธี ทำอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน - รู้ทันคนเพื่อไม่ให้เสียเปรียบใคร ต่อรองอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน

101 กลวิธี ทำอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน - รู้ทันคนเพื่อไม่ให้เสียเปรียบใคร ต่อรองอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบคน

สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยชอบคือ การต่อรอง เพราะการต่อรองมักยืดยาวและหลายครั้งเกี่ยวพันกับการคุยและเล่นแง่กัน มันจึงเป็นเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ไม่ค่อยอยากไปยุ่งเท่าไหร่ แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้นหน้าที่ความรับผิดชอบต่างๆก็มากขึ้น ซึ่งการต่อรองก็น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องเจอ ดังนั้นแทนที่จะปวดหัววันที่ต้องต่อรองสู้ศึกษาเกี่ยวกับการต่อรองไว้สักหน่อยดีกว่า แต่นั่นก็แค่ความคิดครับเพราะไม่รู้การต่อรองพวกนี้จะไปศึกษาจากไหน จนบังเอิญไป Search หาหนังสือโดยใช้ Keyword 101 (คือกะหาเรื่อง Basic มาอ่าน) ก็มาเจอหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเปิดให้เห็นมุมมองและวิธีการรับมือในการต่อรอง

การต่อรองเพื่อผลประโยชน์

การต่อรองเกิดจากสองฝ่ายคือคุณและคู่ต่อรองนั้นพยายามหาข้อตกลงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้ฝ่ายตนเองได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งการต่อรองนั้นพบได้ในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของที่ต้องต่อเวลาตั้งแต่ของเล็กๆเช่นเสื้อผ้าไปจนถึงซื้อบ้านซื้อรถที่อาจจะต้องต่อรองราคา ดอกเบี้ย ประกัน ค่าโอน บริการหลังการขายต่างๆนาๆ หรืออาจจะเป็นเรื่องงานที่ต้องติดกับลูกค้า ต่อรองเพิ่มลดจำนวนงานตามจำนวนเงินที่ลูกค้าจ่าย การต่อรองเงินเดือน เพิ่มวันหยุดวันพักร้อน

  • ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว

ผลลัพธ์การต่อรองแบบนี้จะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์อีกฝ่ายจะเสียประโยชน์ คุณอาจจะเห็นว่าผลลัพธ์การต่อรองแบบนี้นั้นอาจจะเป็นเรื่องดี ซึ่งมันก็ดีจริงแหละครับ ถ้ามันเป็นการต่อรองเพียงครั้งเดียวแล้วเราจะไม่ต่อรองกับคู่ต่อรองคนนี้อีก แต่ถ้าคุณอาจจะต้องต่อรองกับเขาอีก หรืออยากให้เขามาใช้บริการ หรือสินค้ากับคุณอีก ผลลัพธ์แบบนี้อาจจะไม่ดีเท่าที่ควร นึกภาพว่าคุณไปต่อรองซื้อสินค้ากับบริษัท ถ้าฝั่งบริษัทเอาแต่ประโยชน์ของตัวเอง คุณก็ย่อมไม่พอใจและคุณอาจจะหาบริษัทอื่นเป็นตัวเลือกเพื่อซื้อสินค้าแทนบริษัทเดิม

  • ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

แบบนี้คือต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์แม้อาจได้ไม่มากอย่างที่ต้องการแต่อย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็ได้ประโยชน์ ผลลัพธ์การต่อรองแบบนี้คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งถามว่าทำไมดีกว่าแบบ ได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว ก็เพราะแบบนี้มันดีทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนของปัจจุบันคือได้ประโยชน์ทั้งคู่ ส่วนในอนาคตคือคู่ต่อรองทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาต่อรองกันใหม่ได้ อีกทั้งคู่ต่อรองอาจแนะนำคนรู้จักมาทำการซื้อขายต่อรองกับคู่ต่อรอง

  • ไม่มีผลลัพธ์

แบบนี้คือทั้ง 2 ฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งอาจมองว่าเป็นข้อเสียหรือข้อดีก็ได้ ถ้ามองแบบข้อเสียคือทั้งสองฝ่ายต่างเสียเวลาที่มาต่อรองกัน แต่ถ้ามองในแง่ดีคือทั้งคู่จะได้ไปหาคู่ต่อรองใหม่เพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างที่ต้องการ อีกทั้งทั้งคู่ก็ยังเปิดโอกาสให้กลับมาเจรจาต่อรองกันได้อีก

ความต้องการที่ไม่ได้พูดออกมา

หนังสืออธิบายว่าคู่ต่อรองของเราจะมีความต้องการที่ไม่ได้พูดออกมาในทุกการเจรจาต่อรอง หนังสือยกตัวอย่างเช่น จริงๆลูกค้าไม่ได้ต้องการราคาที่ต่ำที่สุด แต่จริงๆลูกค้าต้องการประกัน บริการหลังการขาย หรือต้องการสร้างผลงานในการเจรจาต่อรองที่ดูฉลาดเป็นต้น ซึ่งพอผมอ่านผมก็สงสัยนะว่าทำไมคนที่มาเจรจาต่อรองถึงไม่ยอมพูด ถ้าเป็นผมไปซื้อคอมพิวเตอร์แล้วต้องการประกัน ผมก็จะพูดเลยว่ามีประกันไหม ถ้าไม่ขอเพิ่มจะแลกเปลี่ยนกับอะไรได้บ้าง ซึ่งจริงๆหนังสือก็มีการอธิบายไว้เหมือนกันว่าทำไม ซึ่งนั่นก็เพราะคู่เจรจาจะเก็บสิ่งนี้ไว้ในการต่อรอง หากรีบเผยความต้องการที่แท้จริงให้อีกฝ่ายทราบจะกลายเป็นเสียอำนาจการต่อรอง

องค์ประกอบสำคัญในการต่อรอง

หนังสือบอกองค์ประกอบของการต่อรองมี 3 อย่างคือ

  1. เวลา (ช่วงระยะเวลาในการต่อรอง)

หนังสืออธิบายว่าจากการศึกษาการเจรจาต่อรองจะเห็นว่าการเจรจาต่อรองส่วนใหญ่จะไปต่อรองกันได้ในช่วงท้ายๆก่อนเส้นตายในการเจรจาต่อรอง เพราะเมื่อถึงเส้นตายไม่ฝั่งใดก็ฝั่งหนึ่งหรือทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องเจอผลลัพธ์ที่ไม่ดี เช่น ค่าปรับ ทำยอดไม่ถึง อีกทั้งเมื่อเริ่มการเจรจาที่ยาวนานแล้วคุณเหมือนเสียเวลากับการเจรจาต่อรองไปแล้ว ดังนั้นคุณย่อมไม่อยากให้การเจรจาต่อรองนี้ไม่สำเร็จ

  1. ข้อมูล

ข้อนี้อาจจะเป็นข้อที่เข้าใจง่ายเพราะใครยิ่งมีข้อมูลมากย่อมได้เปรียบในการเจรจาต่อรอง แต่ว่าคนมักเข้าใจผิดว่าข้อมูลค่อยไปหาตอนเริ่มเจรจาหรือเก็บกันตอนคุยกับคู่เจรจา จริงๆแล้วข้อมูลสามารถหาไปก่อนได้เลย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า สถิติ ความต้องการของอีกฝ่าย ลักษณะนิสัยของอีกฝ่าย เพราะทุกข้อมูลเราสามารถวางแผนการต่อรองได้ เช่น ถ้าเรารู้ว่าเขาต้องการอะไร เราอาจใช้ความต้องการต่อรองกับข้อเสนอของเราอย่างสมน้ำสมเนื้อเป็นต้น

  1. อำนาจ

ตอนแรกอ่านถึงอำนาจแล้วผมตกใจเหมือนกันว่าอำนาจอะไรวะ แต่หนังสือบอกว่าคู่เจรจาต่างมีอำนาจ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อมีอำนาจในการต่อรองเรื่องการสามารถซื้อของได้จากหลายๆที่ ดังนั้นผู้ซื้อจึงมีอำนาจการต่อรองในการใช้คู่แข่งเป็นการต่อรอง ส่วนผู้ขายนั้นก็ได้เปรียบเรื่องรู้ต้นทุนของสินค้านั้น รู้ราคากลาง ซึ่งทำให้ผู้ขายสามารถรู้ราคาสูงสุด ต่ำสุดที่สามารถต่อรองได้ ดังนั้นตอนต่อรองเขาย่อมรู้ว่าจุดไหนที่ยอมรับได้ หรือเอาบางอย่างมาต่อรองเรื่องราคาก็ได้เช่นกัน

กลวิธีในการต่อรอง

ในหนังสือแนะนำกลวิธีต่อรองให้เรารู้เพื่อใช้และรู้ว่ากำลังโดนใช้วิธีไหนอยู่ โดยหนังสือมีแนะนำไว้ถึง 101 วิธี โดยผมจะเอามาเล่าสัก 3 วิธี

  • พบกันครึ่งทาง

วิธีนี้ก็อาจเห็นพบได้ทั่วไปในการต่อรองราคา เช่น ผู้ขายอยากขาย 100 ผู้ซื้ออยากซื้อ 150 ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะใช้วิธีพบกันครึ่งทางคือเหลือ 125 ได้หรือไม่ วิธีนี้อาจได้ประโยชน์ถ้า 125 คือราคาที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับได้ แต่ก็ต้องระวังว่าถ้าอีกฝ่ายตกลงอย่างรวดเร็วอาจจะโดนต่ออีกได้เพราะในเมื่อเหลือ 125 ได้อย่างรวดเร็วแปลว่าราคาอาจจะต่อรองได้อีก

  • ยินยอมแบบมีเงื่อนไข

วิธีการนี้คือยอมรับข้อตกลงของอีกฝ่าย แต่เราก็มีเพิ่มเงื่อนไขให้กับอีกฝ่ายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ชายบอกจะขายคอมพิวเตอร์ให้ในราคา 20,000 บาท จากราคา 24,000 บาท ถ้าเราอยากได้ในราคา 18,000 บาท แต่เรารู้ว่าอีกฝ่ายลดให้เราไม่ได้อีกแล้ว เราอาจเงื่อนไขว่าได้แต่ต้องเพิ่มประกันต่อให้อีก 2 ปี (ที่มีราคา 2,000 พอดี) เท่านี้เราก็เหมือนได้คอมพิวเตอร์ราคา 18,000 แล้ว (จริงๆเราไม่ได้อย่างที่ต้องการทั้งหมดแต่อย่างน้อยเราก็ได้ประโยชน์ และฝ่ายผู้ขายก็ได้ประโยชน์เช่นกันในกรณีที่ตกลงกันได้)

  • อ้างคนที่มีอำนาจเหนือกว่า

วิธีนี้ก็ไม่อะไรมากไปกว่ายอมตกลงเงื่อนไขแต่บอกว่าต้องคุยกับคนที่อำนาจเหนือกว่าก่อน ซึ่งก็เราก็อาจจะอ้างไปเลยว่าผู้มีอำนาจเหนือกว่านั้นไม่โอเคกับข้อต่อรองนี่ช่วยปรับเปลี่ยนข้อต่อรองให้หน่อย ตัวอย่างเช่น ผมโอเคกับข้อตกลงนี้นะ แต่ขอไปถามภรรยาก่อนว่าโอเคไหม จากนั้นคุณก็โทรไปหาภรรยาหรืออ้างว่าภรรยาของคุณไม่โอเคกับข้อตกลงนี้จะขอลดราคาลงได้หรือไม่

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับผมหนังสือเล่มนี้สอนให้รู้เกี่ยวกับโลกของการต่อรอง การต่อรองที่ดีควรจะเป็นการต่อรองที่ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย กลวิธีต่างๆในการต่อรอง ซึ่งเราอาจจะต้องเจอในชีวิตประจำวัน อีกทั้งหนังสือยังแนะนำอีกหลายๆเรื่องเกี่ยวกับการต่อรองที่ผมไม่ได้พูดถึง ไม่ว่าวิธีการดูว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อรองลักษณะไหน วิธีการตั้งคำถามกับอีกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อมูล วิธีการทำให้เป็นคนน่าเชื่อถือและน่าไว้ใจ การอ่านท่าทางการแสดงออกของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โอเคนั่นเป็นข้อดีของหนังสือส่วนข้อเสียซึ่งไม่เกี่ยวกับหนังสือซึ่งคือ เมื่อคุณอ่านมันแล้วคุณจะรู้สึกไม่เหมือนเดิม คุณจะเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากคำถาม คุณจะคิดว่าการกระทำนั้นหวังผลหรือไม่ ซึ่งนั่นอาจจะทำให้คุณรู้สึกไม่สนิทใจเวลาพูดคุยเจรจาต่อรอง (แต่จริงๆมันก็อาจจะเป็นข้อดีสำหรับหลายคนก็ได้นะ)

เพิ่มยอดขาย ไต่อันดับด้วย SEO GOOGLE ANALYTICS & SEARCH CONSOLE

เพิ่มยอดขาย ไต่อันดับด้วย SEO GOOGLE ANALYTICS & SEARCH CONSOLE

เพิ่มยอดขาย ไต่อันดับด้วย SEO GOOGLE ANALYTICS & SEARCH CONSOLE

เนื่องจากอยากจะทำ Blog แบบจริงจังมากขึ้น เพราะคิดว่าอยากให้สิ่งที่เราเขียนเนี่ยมีคน Search เจอมากขึ้น สิ่งที่เราอยากจะสื่อ สิ่งที่เราอยากจะบอกจะได้ถึงคนมากขึ้น อีกทั้งอยากหารายได้เสริมเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งวิธีที่จะทำให้มีคนมา Web เรามากขึ้นโดยไม่ใช้เงินก็คือการทำ SEO นั่นเอง ก็เลยเป็นที่มาของการอ่านหนังสือ : เพิ่มยอดขาย ไต่อันดับด้วย SEO GOOGLE ANALYTICS & SEARCH CONSOLE

สอนขั้นพื้นฐาน

หนังสือสอนขั้นพื้นฐานเลยว่า Search engine นั้นต้องมีการส่ง crawler, robot (แล้วแต่จะเรียก) หรืออะไรแล้วแต่จะเรียกเนี่ยไปที่ web ต่างๆเพื่อเก็บข้อมูลของ web จากนั้นก็เอาข้อมูลในแต่ละหน้ามาเข้า Algorithm ของ Search engine นั้น ทำให้เราเห็นผลลัพธ์การ Search นั้นเอง การทำ SEO ก็คือการพยายามทำให้ Web ของเราเนี่ยอยู่ต้นๆไปอยู่อันดับแรกๆของอันดับการ Search ของ Search engine นั้น

ทำยังไงถึงจะติดอันดับดีๆ

หนังสือบอกว่าถ้าจะติดอันดับดีๆของ Search engine ได้นี่มี 2 ปัจจัยหลักๆคือ

  1. Content

อย่างแรกเลยคือ Content ของ Web ต้องตรงกับคำที่จะ Search ดังนั้นใน Content ของคุณควรจะมีคำที่เป็น Keyword ในการ Search อยู่ใน Content (และควรจะเกี่ยวข้องด้วย) ซึ่งคุณจะไม่แปลกใจที่บาง Web ที่คุณเข้า คุณจะเจอ Keyword ที่เกี่ยวกับ Search แฝงอยู่ในหน้านั้นเต็มไปหมด เป็น Link บ้าง เป็นคำซ้ำๆบ้าง (ลองไปเข้า Web 18+ เถื่อนๆ หรือเว็บพนันดูครับ คุณจะเห็นเลยว่าคำพวกนี้นี่ไปทุกหน้า แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับหน้านั้นก็พยายามใส่) ทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้ Page นั้นมี Keyword เยอะๆ เวลาตัว Crawler มันเข้ามาเก็บข้อมูลหน้านี้มันจะทำสิ่งที่การดูข้อมูลใน page นี้เพื่อทำ Index หน้า Page นี้ซึ่งจะเป็นการดูว่าหน้านี้มีคำอะไรอยู่บ้างมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจจะมีผลกับ Algorithm ที่ใช้ Search แต่จริงๆผมว่า Algorithm มันก็ฉลาดพอที่จะไม่หลงแค่จำนวน keyword ในหน้านั้นเพียงอย่างเดียวไม่งั้นมันเราคงทำหน้านั้นให้มีแต่คำที่เป็น keyword อย่างเดียวแล้ว

  1. Backlink

ว่าง่ายๆก็คือ Link ที่ชี้มายัง Web หรือ Page ในเว็บของเรา ยิ่งมี Link มาที่เว็บเรามากเท่าไหร่ Algorlithm ก็น่าจะให้คะแนน Web ของเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการทำ Backlink ก็มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าคุณอยู่ในวงการคอมพิวเตอร์เนี่ยคุณอาจจะเห็นบางคนชอบเอา Link เว็บของตัวเองไปแปะไว้ใน Web board ต่างๆ หรือ ตาม Socail platform ต่างๆ ซึ่งนั่นก็เพื่อทำให้เกิด Backlink กลับมานั่นเอง หรือถ้าทำเป็นธุรกิจหน่อยก็จะกลายเป็นรับจ้างทำ Backlink ไป Web คนที่ต้องการก็มี (ผมลอง Search ละมีจริงๆ)

สอนเทคนิคขั้นพื้นฐาน

สำหรับหนังสือเล่มนี้สอนเรื่องพื้นฐานที่ Web หนึ่ง Web ควรทำซึ่งนั่นก็คือ

  • สร้างไฟล์ robots.txt : ไฟล์นี้คือไฟล์เพื่อบอกให้ตัว crawler, robot (แล้วแต่จะเรียก) เนี่ยทราบว่าอนุญาตให้เข้าไปเก็บข้อมูลไหม แล้วแผนผังของเว็บอยู่ที่ไหน

  • สร้างไฟล์ sitemap : ไฟล์นี้คือไฟล์ที่บอกแผนผังของ web ว่ามีหน้าอะไรบ้าง เพื่อให้ตัว crawler เนี่ยเข้าไปค้นหา

  • การเพิ่ม meta tag ในส่วน header : meta tag คือ tag ที่ถูกสร้างเพื่อใช้ประโยชน์บางอย่างโดยเฉพาะเจาะจงกับ Program ที่มาอ่าน meta tag นั้น ซึ่งตัว crawler เองก็ได้นิยาม meta tag ที่ตัวเองต้องการใช้และให้คนทำ web เนี่ยทำการใส่ meta tag ตามทำตัว crawler กำหนด เช่น meta tag ที่ทำการบอกจะให้ทำสนใจหน้านี้ไหม หรือ meta tag ที่บอกว่า keyword ในหน้านี้คืออะไร

แนะนำ Tools

หนังสือแนะนำ Tools ที่คนอยากทำ SEO ควรรู้จักและใช้งานซึ่งมีหลายตัวมาก ซึ่งผมไปทดลองใช้ตามที่หนังสือแนะนำกลับพบว่า Tools หลายๆตัวไม่สามารถใช้งานได้แล้ว จะเหลือก็แค่ Google trend กับ wisesight ที่ใช้งานได้อยู่

  • Google Trend

ตัวนี้มีไว้ใช้ในการใส่คำที่เราคิดว่าเป็น Keyword ลงไป จากนั้นมันจะบอกว่า Keyword นี้มีคนค้นหามากเท่าไหร่ แถมบอกด้วยว่ามาจากที่ไหนบ้าง และมีแนะนำ Keyword ที่ใกล้เคียงกับคำนี้ให้เราด้วย ซึ่งนั่นทำให้เราหา Keyword ที่มีคน Search เยอะมาใส่ใน Web ของเรา Web เราอาจจะถูก Search เจอได้มากขึ้น แถมตัว Google trend ยังมีสรุปคำค้นหารายวันให้เราด้วยว่าในวันนี้และวันที่ผ่านๆมา คนทำการ Search keyword อะไรเป็น 10 อันดับแรกในวันนั้น

  • Wisesight

อันนี้เป็น Tools ที่บอกว่า Social ในขณะนี้กำลังสนใจเกี่ยวกับอะไร ซึ่งถ้าสนใจเล่นกับกระแสอันนี้ผมแนะนำเลย แต่ผมไม่ค่อยสนใจกระแสเลยไม่ค่อยสนใจ Tools ตัวนี้สักเท่าไหร่

Social

ส่วนนี้ผมไม่คิดว่าจะมีในหนังสือเล่มนี้เพราะเราจะทำ Web เกี่ยวอะไรกับพวก App Social เช่น Youtube, Facebook, Tiktok แต่หนังสือก็อธิบายไว้ดีครับว่า เดี๋ยวนี้คนเข้าพวก App Social นี้เป็นหลักดังนั้นถ้าเราทำ Page ทำช่อง Youtube แล้วดัง คนก็ย่อมสนใจและอาจจะเข้าไปที่ Web ของคุณ อีกทั้งตัว Description ของของพวก Youtueb เนี่ยเราสามารถทำ Backlink มาหา Web ของเราได้ด้วย โดยส่วนนี้หนังสือวิธีและ Tools ที่ช่วยให้ ช่อง (Youtube) และ Page (Facebook) ของเราเป็นที่น่าสนใจ ซึ่งในบทนี้ทำให้ผมรู้จัก Tool ชื่อ tubebuddy ซึ่งช่วยลดการทำพวกงานน่าเบื่อๆของการ Upload video youtube ไม่ว่าจะเป็นการใส่ Tag การทำ Description ซ้ำๆไปได้เยอะมาก (สบายขึ้นเยอะมากๆครับ ใครทำช่อง Youtube ผมแนะนำเลย)

อ่านแล้วได้อะไร

หนังสือเล่มนี้แนะนำเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับการทำ SEO ตั้งแต่วิธีการทำงานของ Search engine ไล่ไปจนถึงการใช้วิธีต่างๆเพื่อช่วยให้ Web ของเราขึ้นหน้าแรกๆของผลการ Search และเนื่องด้วยมันไม่ลงเทคนิคทำให้อ่านง่ายเข้าใจง่าย อ่านไม่นานก็จบละ ซึ่งข้อดีนี้ก็นำพามาซึ่งข้อเสียซึ่งนั่นก็คือมันไม่มีวิธีการทางเทคนิคที่ทำแล้วเห็นผลได้เลย (ส่วนนี้ผมเข้าใจเพราะเป็นความลับ ใช้ทำมาหากินได้เลย ใครจะมาบอกในหนังสือราคาไม่กี่ร้อยล่ะ) ซึ่งผมซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นคาดหวังไว้มาก แต่หนังสือเล่มนี้ก็ได้แนะนำ Tool ที่ผมไม่รู้จักหลายตัวไม่ว่าจะ Google trend ที่ช่วยตรวจสอบ Keyword นั้นว่ามีคนใช้หาเยอะแค่ไหน มีคำใกล้เคียงอะไรที่น่าสนใจ , Tubebuddy ที่ช่วยทำงานน่าเบื่อๆที่ต้องทำใน Youtube เช่นการติด tag ซ้ำๆ

ก็สำหรับใครที่อยากเริ่มทำ SEO ผมก็แนะนำให้ลองไปหามาอ่านครับ แต่อย่าคาดหวังว่าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะทำให้ Web ของคุณขึ้นอันดับ 1 เลย ผมว่าอ่านเล่มนี้ได้แค่ภาพกว้างๆ ส่วนทางเทคนิคอาจจะต้องหาหนังสือเล่มอื่นมาช่วยครับ (จริงๆชื่อหนังสือมันหลอกมากเลยครับ ถ้าเปลี่ยนเป็นพื้นฐานการทำ SEO น่าจะตรงกว่า)

How to Lie With Statistics - วิธีปั่นหัวคนด้วยสถิติ

How to Lie With Statistics - วิธีปั่นหัวคนด้วยสถิติ

How to Lie With Statistics - วิธีปั่นหัวคนด้วยสถิติ

สถิติ ตัวเลข กราฟ แผนภูมิ ผมที่เป็นโปรแกรมเมอร์มักจะเจอบ่อยๆ เพราะเราต้องเอามาดูประสิทธิภาพของ แบบเร็วขึ้นกี่ % เร็วกว่าเดิมเท่าไหร่กี่วิ หรือมีกราฟเปรียบเทียบระหว่าง Tools ตัวนึง กับ Tools อีกตัวนึงให้เห็นว่าเขาดีกว่าเร็วกว่า พอได้เห็นหนังสือเล่มนี้ก็เกิดความสนใจว่า คนเราจะถูกปั่นหัวด้วยสถิติได้ยังไง ในเมื่อสถิตินั้นผ่านการคิดคำนวณจากแหล่งข้อมูลมาแล้ว เหตุใดมันจึงเอามาปั่นหัวคนได้ ก็เลยยืมจากห้องสมุดที่ TK Park มาอ่าน

แค่ค่าเฉลี่ยก็หลอกกันได้

ตอนอ่านแรกๆก็ เฮ้ย ค่าเฉลี่ยมันจะหลอกอะไรเราได้วะ แต่พอเขายกตัวอย่างเรื่อง ค่าเฉลี่ยนรายได้ของพนักงานในบริษัทที่ รายได้อยู่ที่ 20000 ดอลล่าห์ต่อปี คำตอบตรงนี้มันดีครับ แต่ปัญหาคือ ค่าเฉลี่ยที่เขาว่าเนี่ยมันคือค่าเฉลี่ยใด เพราะค่าเฉลี่ยนี่มี 3 ตัวคือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต(ค่าเฉลี่ยที่เราเข้าใจเนี่ยแหละ), ค่ามัธยฐาน(ค่ากลางคือค่าที่อยู่ตรงกลางของค่าทั้งหมดเมื่อเอามาเรียง), ค่าฐานนิยม(ค่าที่ซ้ำกันเยอะที่สุดในกลุ่ม) แต่ล่ะค่าเหล่านี้บอกข้อมูลคนล่ะอย่าง ตัวอย่างกลุ่มข้อมูลประมาณนี้

1
2
3
4
5
10
10
12
15
1000

จะได้ค่าเฉลี่ย 3 อย่างดังนี้

  • ค่าฐานนิยม : 10
  • ค่ามัธยฐาน : 12
  • ค่าเฉลี่ยเลขคณิต : 209.4

ถ้าสมมุติเปลี่ยนค่าพวกนี้เป็นค่าขนมต่อวันของเด็กนักเรียน ป.1 ถ้าคุณเอาค่าเฉลี่ยเลขคณิตไปบอกใครสักที่บอกว่า ค่าเฉลี่ยของเด็กนักเรียน ป.1 อยู่ที่ 209.4 บาท และทำให้ผมคิดว่า โอ้โห คุณพระเด็กสมัยนี้ได้เงินค่าขนมเยอะเหลือเกิน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจผิดไปละ เพราะถ้าไปข้อมูลทั้งหมดจะเห็นว่ามันมีเด็กคนนึงได้เงิน 1000 ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ยมันดูสูงขึ้นแบบเกินไป ซึ่งถ้าเรามาดูค่าพวกฐานนิยมประกอบจะเห็นว่าค่าที่โผล่บ่อยที่สุดคือ 10 ต่างหาก เด็กส่วนใหญ่ได้เงินไปโรงเรียน 10 บาท แต่ฐานนิยมก็มีจุดอ่อนตรงที่มันบอกตัวที่ซ้ำมากสุด ส่วนมัธยฐานก็บอกแค่ค่าที่อยู่ตรงกลาง ดังนั้นจะเห็นว่าการดูแค่พวกค่าเฉลี่ยนั้นมันไม่พอครับ มันต้องดูค่าอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าสูงสุด ต่ำสุด ค่าความเบี่ยงเบน และอื่นๆ เรื่องนี้ทำให้ผมตระหนักได้ว่า การได้ยินเรื่องพวกค่าเฉลี่ยๆต่างเนี่ย ผมควรจะต้องไปหาดูค่าอื่นๆว่ามันมีค่าเฉลี่ยอะไร มีค่าอื่นให้ดูไหม และชุดข้อมูลที่ได้มานั้นได้มาอย่างไรเป็นกลางไหม

การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นกลาง

สถิติหลายๆสถิติที่เราได้ยินมาส่วนใหญ่จะเก็บจากกลุ่มตัวอย่าง น้อยมากที่จะเก็บจากข้อมูลทั้งหมด (สมัยนี้อาจทำได้แล้วเพราะเทคโนโลยีมันถึง) พอมันมาจากกลุ่มตัวอย่างเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันกลุ่มตัวอย่างที่ได้มามันแทนคนทั้งหมดได้ใช่ไหม หนังสือยกตัวอย่างถ้าใส่ถั่วสองสีผสมกันลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ไปในถัง คำถามคือถ้าเราไม่รู้ว่าอัตราส่วนมันคือเท่าไหร่เราจะทำยังไง วิธีที่ดีทีสุดคือนับทีละเม็ดแล้วเอามาหารกันหาอัตราส่วน แต่มันทรัพยากรในการทำสูงมาก ในที่นี้คือเวลานั่งการนั่งนับ ถ้าขี้เกียจนับเองก็ต้องจ้างคนมานับ สุดท้ายเราจะได้จำนวนอัตราส่วนที่แม่นยำ ดังนั้นสุ่มเอามาเลยดีกว่า เอามือกำลงไปในกองถั่วที่ผสมกัน ก็จะไออัตราส่วนคร่าวๆ ซึ่งถ้าคนไปกำถั่วเนี่ยเป็นกลาง เขาจะพยายามกำแบบสุ่ม ไม่เลือก ซึ่งก็จะได้อัตราส่วนคร่าวๆ แต่ถ้าผลลัพธ์เนี่ยมันมีบางอย่างมาเกี่ยวข้องเช่น ถ้าอัตราส่วนของถั่วแดงมากกว่าแล้วคนที่ทำหน้าที่ไปกำถั่วมาหาอัตราส่วนจะได้เงินเพิ่ม คนที่ทำหน้าที่กำถั่วก็ย่อมจะเลือกจุดที่มีถั่วสีแดงเยอะๆ เพื่อให้ได้ผลไปในทางที่ต้องการ นี่แหละครับตัวอย่างการพยายามเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นกลาง ซึ่งจากตัวอย่างที่พูดไปอันนี้คือการจงใจทำเพื่อหวังประโยชน์ เราเจอมาเยอะแล้วในประเทศเรา ตัวอย่างเช่น การทำ Poll ถามว่านายกทำงานดีไหม แล้วผลออกว่าคนจำนวน 90% บอกว่านายกเป็น คำถามคือมันถูกต้องไหม ก็คงต้องบอกว่าถูกต้องครับ แต่คำถามถัดไปที่เราต้องถามคือ กลุ่มตัวอย่างคือใคร กลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ไหน จำนวนคนคือเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเราได้คำตอบ เราจะรู้เลยว่า Poll นั้นมันไร้สาระมากแค่ไหน

แต่หนังสือก็บอกว่าการเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นกลางเนี่ยไม่ได้มีแต่แบบจงใจอย่างเดียว มันมีทั้งแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะคิดไม่ถึงเช่น ไปเลือกกลุ่มตัวอย่างในเมืองเวลาทำงานปกติ ซึ่งมันเอนเอียงเพราะขาดคนที่ทำงานในเวลาที่ไม่ปกติ เช่น กะกลางคืนเป็นต้น

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับหนังสือเล่มอ่านแล้วได้เห็นมุมมองการเอาสถิติมาใช้ในทางที่ผิดได้แบบที่ผมไม่คิดว่าเขาจะทำกัน ตัวอย่างเช่น หลอกกันด้วยค่าเฉลี่ยที่เอาคนที่มีรายได้สูงๆมาดึงค่าเฉลี่ยให้เห็นว่าโดยรวมคนแถบนั้นเป็นคนมีฐานะ ซึ่งจริงๆคนส่วนใหญ่แถวนั้นมีรายได้ไม่ดีกันส่วนใหญ่ (นักการเมืองนั้นชอบทำ) การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นกลาง การใช้ผลการทดลองจากกลุ่มตัวอย่างที่เล็กเกินไป เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่มหัศจรรย์ (ถ้ากลุ่มการทดลองเล็กมาก ไม่กระจาย ก็จะได้ผลการที่สุดขอบออกมา เช่น ยาฆ่าเชื้อได้ 99% จากกลุ่มการทดลองเชื้อ 5 ถาด ซึ่ง 5 ถาดนั้นอาจจะเป็นเชื้อชนิดเดียวกันหมด มันเลยตายเพราะยาตัวนี้เกือบทั้งหมด) และเอาไปใช้เป็นโฆษณา ซึ่งตัวคนโฆษณาก็ไม่ได้บอกการทดลองอื่นๆซึ่งมันอาจจะมีที่ออกมาเป็นกลางๆหรือแย่ก็ได้ ซึ่งพอเราได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้เราตระหนักรู้ว่าข้อมูลสถิติต่างๆที่เขาทำให้เราเห็นเนี่ยเขาจงใจทำขึ้นมาเพื่อชี้นำเราบางอย่าง เราต้องคิดตามในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าเป็น ข้อมูลมาจากที่ไหน กลุ่มตัวอย่างเลือกยังไง เป็นกลางรึเปล่า เขาต้องการอะไรจากสถิติ เมื่อเราตั้งคำถามพวกนี้ ตามหาข้อมูลที่หายไป เราอาจจะได้รู้ว่าจริงๆแล้วสถิตินี้น่าเชื่อถือหรือไม่ หรือมันเป็นสถิติที่ออกมาเพื่อผลประโยชน์อะไร

ก็ตามธรรมเนียมที่ผมจะไม่ได้บอกข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียของหนังสือเล่มนี้คือมันเก่ามากและตัวอย่างที่ยกตัวอย่างให้ดูเป็นข้อมูลเกี่ยวกับอเมริกาซะส่วนใหญ่ (ไม่แปลกเพราะเขาตีพิมพ์ขายในสมัยก่อน ขายเฉพาะคนในประเทศก็ลำบากแย่แล้ว) ทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจว่าตัวอย่างพวกนี้มันคืออะไร มีอิทธิพลกับสังคมเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ก็เลยทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจถึงผลกระทบนั้นสักเท่าไหร่

สำหรับเล่มนี้ผมแนะนำให้อ่านเลยครับ ในปัจจุบันเราอาจหลุดพ้นจากเรื่องงมงายพวกภูติผีปิศาจ แต่เราอาจจะยังหนีไม่พ้นการหลงงมงายไปกับสถิติที่ถูกสร้างมาหลอกเราให้หลงงมงายไปตามสิ่งที่เขาต้องการ

The Man in the High Castle - บุรุษปราสาทฟ้า

The Man in the High Castle - บุรุษปราสาทฟ้า

The Man in the High Castle - บุรุษปราสาทฟ้า

หลังจากอ่านหนังสือปรัชญา ชีวิต จิตวิญญาณ มาหลายเล่ม ก็เลยอยากพักสมองอ่านหนังสือที่ไม่ต้องมาก อ่านแค่เอาสนุก สุดท้ายก็เลยไปจบที่อ่านนิยายดีกว่า แต่จะอ่านนิยายทั้งทีมันต้องอ่านนิยายวิทยาศาสตร์สิ เพราะเราจะได้เห็นมุมมองอื่นที่ไม่ได้มาจากจิตวิญญาณ (ที่ตอนนี้โคตรเอียนละ) ก็เลยมาจบที่เรื่อง “The Man in the High Castle - บุรุษปราสาทฟ้า” เพราะไปเห็นเรื่องย่อที่โคตรว้าว อีกทั้งยังได้รับรางวัล The Hugo Award ด้วย

ถ้า A แล้ว B

ในชีวิตเราคงได้ยินคำถามประมาณนี้เสมอตั้งแต่กรณีเล็กๆเช่น ในวันที่เรื่องแย่ๆ ถ้าเราออกจากบ้านช้ากว่านั้นสัก 10 นาที เหตุการณ์มันจะเป็นแบบนี้ไหม หรือ ในงานแต่งงานที่เจ้าบ่าวบอกว่า ถ้าวันนั้นออกจากบ้านช้ากว่านั้นสัก 10 นาทีจะเป็นยังไง คงไม่ได้เจอเจ้าสาวคนนี้ หรือพีคขึ้นมาหน่อย ถ้าไทยตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ประเทศเราจะพัฒนาขึ้นไหม เราจะใช้ภาษาอังกฤษกันดีขึ้นรึเปล่า เราจะโน่นจะนี่จะนั่นไหม หนังสือเรื่องนี้ก็ใช้คำถามประมาณนี้เช่นกัน แต่อยู่ระดับที่ใหญ่กว่าประเทศแต่เป็นทั้งโลกคือ ถ้าสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น + เยอรมัน) ชนะสงครามจะเป็นยังไง

เราอยากรู้ เขาก็อยากรู้

ความสนุกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้คือ ตัวละครในหนังสือนั้นบอกเล่าความเป็นไปในกรณีที่อักษะชนะ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นกับเยอรมันแบ่งครึ่งสหรัฐออกเป็น 2 ส่วนแล้วแยกการปกครอง วิทยาการที่ก้าวหน้าของโลกซึ่งเกิดจากนักวิทยาศาสตร์เยอรมัน ความบ้าคลั่งของเยอรมันในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเชิดชูแต่เผ่าพันธุ์ของตนเอง แต่พวกเขาก็มีคำถามเช่นกันว่า ถ้าสัมพันธมิตรชนะล่ะอะไรจะเกิดขึ้น คนอ่านอย่างผมนี่ยิ้มเลยมันแบบ “กูรู้โว้ยว่าจะเป็นยังไง” แต่ถ้ามองกลับกันตัวละครฝั่งโน้นก็คงรู้สึกแบบเดียวกับผมตอนนี้

เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด

ปกติผมจะเคยอ่านแต่นิยายที่เดินเรื่องด้วยตัวละครเอกตัวเดียว หรืออย่างมากสุดก็เล่าผ่านกลุ่มตัวเอกที่แยกย้ายกัน แต่เรื่องนี้เล่าแตกต่างออกไป ตัวละครมีหลากหลายมีเส้นเรื่องของตัวเองไม่ว่าจะ นายพลญี่ปุ่น นักค้าของเก่า ครูสอนวิชาการต่อสู้ นักธุรกิจ หนุ่มตกงาน (มีเยอะกว่านี้) แต่ทุกการกระทำของทุกตัวละครส่งผลไปหาตัวละครอื่นๆ จนตอนจบนี่แบบ “เฮ้ย ทำไมมันดูลงตัวแบบนี้” ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจากการแนะนำการกระทำของผ่าน “อี้จิง”

อี้จิง

ในเรื่องมีการใช้อี้จิงทำนายเรื่องต่างๆ ซึ่งตัวละครทุกตัวเชื่อการทำนายจากอี้จิงประหนึ่งว่ามันถูกต้องเสมอ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม จนตอนอ่านจบมาเข้าใจเลยว่าทำไม ซึ่งจริงๆมันเป็นการบอกเป็นนัยๆในเรื่องมาตลอดอยู่แล้วซึ่งผมตีความได้แบบนึงเดี๋ยวไปสปอยด้านล่างละกัน

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับผมนิยายเรื่องนี้นั้นสนุกมาก แถมให้แนวคิด ปรัชญา ในหลายๆตอน เช่น การตัดสินของจริงกับของไม่จริง คุณค่าของศิลปะ ในเรื่องมีพูดถึงมุมมองของคนหลายๆคน หลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวที่รอดตายจากเยอรมัน ชาวเยอรมันว่าทำไมถึงเกลียดคนยิว หรือแม้แต่ชาวเยอรมันเองที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกเดียวกัน ชาวอเมริกาที่ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นมองคนญี่ปุ่นอย่างไร มองคนที่ต่ำกว่าอย่างไร ซึ่งผมว่ามันดีมากเพราะหลายๆเรื่องที่เคยได้อ่านมันจะแบบ เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ แต่เรื่องนี้เล่าทุกมุมของทุกตัวละครให้เราไปตัดสินใจเอง (ซึ่งสุดท้ายเราอาจจะตัดสินใจไม่ได้ด้วยซ้ำ และมันเป็นการบอกเป็นนัยบางอย่างแก่เราผู้อ่าน) ทุกคนไม่ได้ขาวสะอาด แต่ก็ไม่ได้ดำจนไม่มีขาวเลย ทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเพื่อเอาชีวิตรอดบนโลกใบนี้ ผมชอบคำพูดหนึ่งของตัวละครในเรื่องนี้มาก ผมขอเอามาใช้จบส่วนอ่านได้แล้วอะไรเลยละกัน

We do not have the ideal world, such as we would like, where morality is easy because cognition is easy. Where one can do right with no effort because he can detect the obvious.

เราไม่ได้อยู่ในโลกอุดมคติที่เราหวัง ที่จริยธรรมนั้นเป็นเรื่องง่ายเพราะมองเห็นได้ชัด ที่ซึ่งคนเราจะทำความดีได้ไม่ยากเพราะเขามองเห็นได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว

เออแต่ว่าลืมไปเดี๋ยวจะหาว่าอวยเรื่องนี้อย่างเดียว ไม่พูดข้อเสียบ้างเลย ก็สำหรับผมข้อเสียคือมันพูดถึงเกี่ยวกับคนในประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งเราอาจไม่รู้จักเลยขึ้นมา (ซึ่งก็บอกเลยว่าตอนนี้ผมก็ไม่รู้จัก) แล้วไม่ปูพื้นเราด้วย ซึ่งกลายเป็นหน้าที่เราต้องไปหาว่าเขาคนนั้นคือใครเอง ( หรือไม่สนใจว่าเขาคือนาย A แล้วตัวละครพยายามบอกว่านาย A พยายามทำอะไร ) หรือในเรื่องมีการใช้ศัพท์เฉพาะแบบทับศัพท์เลย แบบ ภาษาเยอรมัน เพลงเยอรมัน หรือ ภาษาญี่ปุ่น ไปเลย ซึ่งเราจะเหวอมากแล้วเขาไม่อธิบายตรงนั้นเลย เราต้องไปไล่หาเองว่ามันคืออะไรเองอีก เวลาอ่านก็จะหงุดหงิดๆหน่อย

สปอย และ การตีความส่วนตัว

ตรงนี้เป็นสปอยและการตีความ ผมไม่อยากให้คุณอ่านตรงนี้ถ้ายังไม่หามาอ่าน เพราะคุณจะถูกครอบงำการตีความในแบบของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและน่าประทับใจที่สุดของการอ่านหนังสือนิยายประเภทที่เขาต้องการให้ตีความ

โดยส่วนตัวผมตีความว่าโลกในหนังสือก็คือโลกที่ผู้เขียนสร้างขึ้นและบงการเรื่องราวทั้งหมดหรือว่าง่ายๆผู้เขียนคือพระเจ้านั่นแหละ (ก็แน่ล่ะ ทำไมจะไม่ใช่ ก็เขาเขียน) มากกว่าทฤษฎีโลกคู่ขนาน (แต่จริงๆจะบอกว่าโลกคู่ขนานก็ได้แหละ) ที่ผมคิดอย่างนั้นเพราะผู้เขียนบงการทุกการกระทำของตัวละครในเรื่องผ่านการทำนายของอี้จิงว่าให้ทำอะไร แบบนั้นแบบนี้ดีไหม ซึ่งจะเห็นว่าตัวละครไม่มีความคิดจำพวกแบบไม่เชื่อเลยจะเชื่อกันไปหมด ไม่ว่าจะของแฟรงค์ ทาโกมิ หรือบุรุษปราสาทฟ้าเองเองก็ถูกบงการให้เขียนเรื่อง “ตั๊กแตนหมอบ” ขึ้นมาให้มีเนื้อเรื่องเป็นสัมพันธมิตรชนะสงครามเพื่อให้เนื้อเรื่องมันตรงกันข้ามกับเรื่องที่แต่งและง่ายในการเขียนของผู้แต่งเองด้วย และสุดท้ายคือการใช้ “อี้จิง” ถามว่าตกลงการที่สัมพันธมิตรชนะสงครามเป็น “ความจริง” ใช่หรือไม่แล้วอี้จิงตอบว่า “ใช่คือความจริง” คือผมตีความว่าคนเขียนกำลังบอกเราและตัวละครว่า ใช่แล้ว เรื่องจริงคือสัมพันธมิตรคือผู้ชนะและนั่นคือโลกของความจริง (โลกของคนเขียนและผู้อ่าน) ส่วนพวกคุณ (ตัวละคร) คือโลกไม่จริง โลกสมมตินั่นเอง ซึ่งตอนสุดท้ายตัวละครถามว่าคุณรู้ความจริงแล้วคุณจะทำอะไรต่อ ซึ่งมันเป็นนัยๆว่า เฮ้ย คุณรู้แล้วนะว่าคุณเป็นตัวละครเป็นโลกสมมติ (นี่มัน Break the Fourth Wall ชัดๆ) คุณยังอยากจะทำอะไรอีกเหรอ

ที่ผมตีความได้ก็น่าจะประมาณนี้ แต่ถ้าคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลไม่เอาอี้จิงมาโยง ไม่ตีความนัยแบบมากไป เรื่องนี้ก็เหมือนเป็นโลกคู่ขนานกับโลกของเรา หรือใช้ทฤษฎีมัลติเวิสมาจับก็ได้ (ต้องขอบคุณมาเวลที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจทฤษฎีกันแบบแพร่หลาย สมัยก่อนผมเอาเรื่องนี้โลกคู่ขนานไปคุยกับใครนี่เขาจะงงๆกันไปหมด) เพราะในเรื่องจะมีตอนนึงที่ทาโกมิเพ่งจิตจนตัวเองหลุดอีกโลกคู่ขนานที่สัมพันธมิตรชนะสงคราม ดูได้จากไม่มีสามล้อมีแต่แท็กซี่ ชาวญี่ปุ่นถูกดูถูก

สำหรับใครตีความแบบไหนก็ลองมาแลกเปลี่ยนการตีความกันดูครับ ผมว่ามันสนุกตรงได้แลกเปลี่ยนการตีความกันนี่แหละ ไม่แน่การตีความของคุณอาจทำให้ผมเหวอจนบอกว่า เออใช่ มันน่าจะเป็นแบบนี้มากกว่านี่แหละคำตอบที่ผมคิดว่าใช่

Awareness - ตื่นรู้

Awareness - ตื่นรู้

Awareeness - ตื่นรู้

ชีวิตคืออะไร ความสุขที่เราต้องการคืออะไร เราควรใช้ชีวิตยังไง คำถามพวกนี้เริ่มเข้ามาในชีวิตผมเมื่อผมเรียนจบมาทำงาน เริ่มมีอิสระในชีวิตเพราะสามารถทำงานหาเงิน เลี้ยงดูตัวเองได้ ใครจะมาห้ามจะมาสั่งให้คิดแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว (เขาจะใช้คำว่าให้ทำกับข้าวให้กิน ใครหาเงินให้ กับเราไม่ได้อีกแล้ว) หลายสิ่งที่เคยเชื่อ หลายสิ่งที่คิดว่าถูก เมื่อใช้เริ่มใช้เหตุผลมาจับหลายเรื่องก็มักไม่จริง ความสุขที่เขาปลูกฝังอาจไม่ใช่ความสุขของเรา ดังนั้นเราจึงต้องทำตามแบบพระพุทธเจ้าที่เรานับถือกัน ซึ่งนั่นก็คือ “การออกตามหาความสุขที่แท้จริง ความหมายของชีวิต วิธีดับทุกข์” ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีไม่เหมือนกัน ของผมก็ไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ออกบวช ของผมแค่ตามหาวิธีคิด วิธีการตีความหมายของชีวิต วิธีการดับทุกข์ของคนบนโลกว่าเขาใช้วิธีอะไรกันบ้าง วิธีใดจะตรงกับเรา ซึ่งนั่นนำพาผมให้ไปเจอหนังสือปรัชญา หนังสือศาสนา ต่างๆ ซึ่งหนังสือที่ผมจะมาเล่าให้ฟังว่าอ่านแล้วได้อะไรคือ Awareness - ตื่นรู้ ของนักเขียนที่ชื่อ OSHO ซึ่งในคนจำนวนหนึ่งบูชาเป็นพระเจ้า แต่บางคน (รวมถึงผม) มองว่าเขาลวงโลกมากกว่า ดังนั้นการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในความท้าทายของผมที่ต้องลดอคติ (ใช้คำว่าลดเพราะยังไงก็มี) และทำความเข้าใจสิ่งที่เขาเขียน (หรือจ้างเขียน)

บอกตามตรงว่าหนังสือเล่มนี้พูดเรื่องอะไรที่ผมคิดว่า WTF (อะไรของมึง) เยอะมาก อีกทั้งใช้การเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ซึ่งบางอันก็สมเหตุสมผล บางอันก็อะไรของมึง ดังนั้นเนื้อหาต่อจากนี้คือแก่นที่ผมคิดว่าผมได้จากหนังสือเล่มนี้

อดีต อนาคต ปัจจุบัน

ตัวผู้เขียนพูดถึง อดีต ว่าเป็นสิ่งที่ตายไปแล้ว สิ่งที่เราไม่ควรไปให้ค่าอะไรกับมันมากจนเกินไป เพราะอดีตจบไปแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ไปคิดถึง ไปสนใจ ก็เท่านั้น เช่นกัน อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เราไม่ควรไปสนใจมันมาก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะใช้ความคิดที่อยู่ในหัวของเรามุ่งไปหา อดีต และ อนาคต เช่น เราคิดถึงเรื่องในอดีต นึกถึงวันดีๆ ความรู้สึกที่ดีในอดีต และสุดท้ายเราก็จะพยายามให้อนาคตนั้นเป็นเหมือนอดีตที่เราคิดว่าดีมากที่สุด หรือ การคิดว่าอดีตที่ไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ต้องถูกจัดการด้วยวิธีการแบบนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์คล้ายๆเดิมในอดีตเราก็ตอบสนองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นแบบอดีต ซึ่งการทำแบบนี้นั้นผู้เขียนบอกว่าเป็นการฉายภาพอดีตไปยังอนาคต ชีวิตจะเป็นแบบเดิมไปเรื่อยๆ เช่นกันถ้าเราคิดแต่ถึงอนาคตเราจะวาดฝันไปเรื่อยๆ คิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เหมือนวิ่งไล่อะไรที่ไม่มีทางเป็นจริงสักทีประมาณนั้น

สิ่งที่ผู้เขียนอยากจะให้เราสนใจจริงๆคือ “ปัจจุบัน” ปัจจุบันคือวินาทีนี้ เรารู้สึกอะไร ทำอะไร ต่างหาก โดยผู้เขียนพยายามให้เราเข้าใจใกล้ปัจจุบันจนถึงขนาดไม่มีช่องว่างให้คิดกันเลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนั้นผู้เขียนเรียกว่าการตระหนักรู้

การตระหนักรู้

การตระหนักรู้ของผู้เขียนคือการอยู่กับปัจจุบัน อยู่แล้วรู้สึกถึงปัจจุบันโดยไม่ใช้ อดีตและความทรงจำมาเกี่ยวข้องเลย ในหนังสือเปรียบเทียบด้วยการมองดอกไม้ ถ้าคุณมองดอกไม้แล้วคิดว่ามันสวยนั่นแปลว่าคุณไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน เพราะตั้งแต่การที่คุณตีความมันว่าสวย นั่นคือคุณคิด คุณไปเอาภาพดอกไม้ในอดีตมาเปรียบเทียบกับปัจจุบันแล้ว ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าการมองแบบปัจจุบันที่ผู้เขียนกำลังพูดถึงนั้นมันคืออะไร

การตระหนักรู้คือ “การเฝ้ามอง” ผู้เขียนบอกไว้ประมาณนั้น การเฝ้ามองคือมองเฉยๆ มองว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มองว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีการคิด วิเคราะห์ใดๆมาเกี่ยวข้องกับการเฝ้ามอง ปล่อยให้มันเกิดไป การเฝ้ามองที่ผู้เขียนว่านั้นรวมถึงการเฝ้ามองตัวเองด้วย เฝ้ามองว่าตัวเองกำลังโกรธ เฝ้ามองว่าตัวเองกำลังมีความสุข เฝ้ามองกำลังหายใจ กำลังทำอะไรอยู่ในขณะปัจจุบันขณะนั้น โดยไม่ตัดสินใดๆ

ผู้เขียนบอกว่าถ้าทำได้เนี่ยคุณจะได้พบกับพระเจ้าที่มาหาคุณที่บ้านทุกวัน เพียงแค่คุณนั้นไม่ได้อยู่บ้าน การเฝ้ามองคือการกลับบ้านมาเพื่อพบพระเจ้าที่กำลังรออยู่ที่บ้านเราเลยทีเดียว อีกทั้งสำหรับผู้เขียนนั้นการตระหนักรู้เหมือนยาวิเศษครอบจักรวาล ซึ่งผมอ่านแล้วดูขัดๆในหลายๆเรื่อง แบบการยกตัวอย่างว่าตระหนักรู้จะทำให้คนคนนึงเลิกเป็นโจรเลยทีเดียว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมการตระหนักรู้มันจะมีผลมากขนาดนั้นเลย การตระหนักรู้ทำให้เรารู้หรือว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร เพราะเราเฝ้ามองมันเฉยๆนี่ แถมเราไม่ได้ใช้อดีตมาตัดสินด้วย การเฝ้ามองการกระทำของตนเองในขณะที่ฉกชิงวิ่งราว (การเป็นโจรนั่นแหละ) จะทำให้เราหยุดการเป็นโจรหรือในเมื่อเราแค่เฝ้ามอง ตระหนักรู้ว่าเรากำลังปล้น เราแค่รู้ว่าปล้นเท่านั้น เราไม่ได้ตัดสินนี่ว่ามันถูกมันผิด แล้วเหตุใดการตระหนักรู้ถึงจะทำให้โจรคนนั้นหยุดปล้นเสียล่ะ มันประหลาดไหม

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับผมการอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลับไปนึกถึงกับคำสอนของศาสนาพุทธที่สอนผมมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่เคยทำได้นั่นคือ การอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งนั่นคือการมี “สติ” ใช่ครับการมีสติ รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร คิดอะไร หนังสือทั้งเล่มที่อ่านมาคือการกลับมาหาคำว่าสติเลย แต่ชาวพุทธ (และอดีตชาวพุทธ) กลับไม่อยู่กับปัจจุบันเลย บางคนคิดแต่กรรมในชาติที่แล้ว บางคนคิดแต่หาสวรรค์ในอนาคต สนแต่เรื่องเหลือเชื่อ จนลืมสิ่งที่เรียกว่าการอยู่กับปัจจุบันซึ่งนั่นคือสติ หากท่านมีสติท่านจะรู้ตัวว่าท่านกำลังทำอะไร ไม่ปล่อยให้สิ่งจากอดีตมามีผลเหนือตัวคุณ คุณก็สามารถทำปัจจุบันได้อย่างรู้เนื้อรู้ตัวว่าควรจะทำปัจจุบันไปในทิศทางไหน ผมว่าตัวหนังสือนั้นแย่กว่าสิ่งที่ผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กเสียอีกนะ ในหนังสือไม่ได้บอกให้คุณใช้ ประสบการณ์จากอดีต เหตุผล มาใช้ในการตัดสินใจกระทำในสิ่งที่กำลังจะทำด้วย ดูได้จากตัวอย่างเรื่องโจรที่ผมบอกขัดๆเลย คือผู้เขียนพูดว่าแค่ตระหนักรู้ก็เลิกเป็นโจรแล้ว แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราตระหนักรู้ (มีสติ) ว่าเรากำลังทำอะไร เรากำลังปล้น การปล้นเป็นสิ่งที่ดีไหม เหตุผลที่บอกว่ามันดีไม่ดีคืออะไร ถ้าไม่ดีเราจึงหยุด นี่สิถึงจะครบกระบวนการ

โดยส่วนตัวมองว่าหนังสือพยายามยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่าย มีพลังทำให้เชื่อแบบว้าวๆ ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมาก บอกว่าวิธีนี้วิธีนั้นคือการแก้ปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมันดู “เกินไป” ถ้าคิดตามพยายามทำความเข้าใจมันจะรู้สึกขัดไปหมด พออ่านมาถึงตรงนี้แล้วเหมือนมันจะมีแต่ข้อเสียเต็มไปหมด ใช่ครับมันมีข้อเสียเต็มไปหมดแล้วผมเป็นคนมองหาข้อเสียด้วยแล้วผมเลยเล่าแต่ข้อเสีย แต่ข้อดีมันก็มีครับ หนังสือยกตัวอย่างวงจร อดีต กับ อนาคตได้เห็นภาพดี การอธิบายการฉายภาพจากอดีตไปหาอนาคตได้เข้าใจดี ตัวอย่างบางตัวอย่างเข้าใจง่าย แถมตลกด้วย

ในหนังสือมีอีกหลายอย่างที่ผมไม่ได้เล่า เช่น การฝึกการตระหนักรู้ (แต่จริงๆคนเคยศึกษาศาสนาพุทธ เราก็เคยฝึกกันแล้ว) ซึ่งมีหลายแบบ เรื่องระดับจิต (ผมไม่พูดถึงเพราะสำหรับผมเหมือนเพ้อเจ้อ) สำหรับใครที่สนใจเกี่ยวกับการตระหนักรู้ตามแนวคิดและวิธีปฏิบัติของ OSHO ก็ไปลองซื้อมาอ่านดูครับ

THE INTELLIGENT INVESTOR - คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

THE INTELLIGENT INVESTOR - คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

THE INTELLIGENT INVESTOR - คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

สำหรับหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือชุดแรกๆที่ผมซื้อมาอ่าน (ดูจากคำหนังสือแนะนำของคุณ Tactschool ) โดยตอนนั้นตั้งเป้าว่าอยากจะเป็นนักลงทุน นักเล่นหุ้น วาดภาพฝันว่ากลางวันเขียน Code การคืนอ่านเรื่องการลงทุนพอพร้อมก็เริ่มลงทุนจะรวยเป็นเศรษฐีบลาๆ แต่พอได้เห็นหนังสือก็อุทานว่า “เล่มใหญ่ชิบหาย” ประกอบกับช่วงนั้นมีหลายเรื่องเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจะเรื่องความรัก เรื่องเรียน ป.โท ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปสนใจหนังสือปรัชญาที่ พยายามทำความเข้าใจชีวิต

กว่าจะได้กลับมาอ่านแบบจริงจังก็ปีนี้เพราะเริ่มรู้สึกว่าเราน่าจะต้องวางแผนเรื่องการลงทุนแบบจริงจังละก็เลยกลับมาอ่าน ซึ่งพอมาอ่านก็รู้สึกว่าสมแล้วที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนแนะนำ เพราะเนื้อหานั้นเป็นเรื่องจริง ตรงไปตรงมา และจริงใจ

การลงทุน กับ การเก็งกำไร

หนังสือเล่มนี้แนะนำตั้งแต่ต้นว่าจะพูดเรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องการเก็งกำไร ตัวผู้เขียนจึงอธิบายเกี่ยวกับการลงทุนและการเก็งกำไรไว้ว่า “การลงทุนเป็นการกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์อย่างละเอียด ซึ่งจะปกป้องเงินต้นและสร้างผลตอบแทนที่เพียงพอให้ การกระทำใดๆที่นอกเหนือกฏเกณฑ์นี้จะถือว่าเป็นการเก็งกำไร” จะเห็นว่าผู้เขียนไม่ได้บอกการลงทุนกับอะไรเป็นการเก็งกำไร แต่มันจะเป็นการเก็งกำไรทันทีเมื่อคุณไม่ได้วิเคราะห์อย่างละเอียดและการกระทำนั้นไม่ได้ปกป้องเงินต้นของคุณ ซึ่งมันตอบคำถามหลายๆคำถามของผมเช่น ผมควรจะลงทุนในอะไรดี ตอนแรกว่าจะไปลงทุนในคริปโต เทรดคริปโต แบบไม่รู้ แต่พอมาเจอการอธิบายนี้ถ้าผมยังคิดจะไปลงทุนคริปโตโดยการเทรดแบบไม่รู้ นั่นไม่ใช่การลงทุน มันคือการเก็งกำไร เพราะผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคริปโต เข้าไปใช้ใจใช้ความรู้สึกดูๆว่ามันจะขึ้นจะลง แต่กลับกันถ้าผมไปศึกษาเรื่องเทรดคริปโตแบบจริงจัง หามูลค่าที่แท้จริง หาวิธีที่ทำแล้วไม่มีทางเสียเงินต้นหรือโอกาสเสียเงินต้นน้อยมาก แล้วไปทำการเทรดอะไรแบบนั้น สิ่งนี้ถึงเรียกว่าการลงทุน

ไม่ได้สอนให้เอาชนะ แต่สอนป้องกันความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

หนังสือได้เล่มนี้จริงใจกับเรามากถึงขนาดบอกตั้งแต่ต้นเลยว่า เป้าหมายของเขาไม่ได้สอนวิธีที่จะเอาชนะตลาด หรือได้กำไรแบบเป็นกอบเป็นกำ หรือการเก็งกำไร แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้จะสอนคือ ความผิดพลาดของนักลงทุนที่ผิดพลาดกัน ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งซื้อหุ้นเติบโตแบบไม่คิด การซื้อหุ้น IPO ในภาวะตลาดกำลังขึ้น การจับจังหวะซื้อขายรายวัน ซึ่งสิ่งที่หนังสือสอนมีหลักฐานอ้างอิงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวผมชอบแนวการสอนแบบนี้นะครับเพราะถ้าเราไม่ผิดพลาดแล้วเราจะเหลือแค่เท่าทุนกับกำไรซึ่งทำให้เราสบายใจในการลงทุนไม่ต้องมานั่งหวาดวิตก กลัวว่าจะมีปัญหาอะไรไหม เงินเราจะหายไปรึเปล่า

นักลงทุนเชิงรุก กับ นักลงทุนเชิงรับ

หนังสือนิยามนักลงทุนไว้สองประเภทใหญ่ๆคือ นักลงทุนเชิงรุก กับ นักลงทุนเชิงรับ ซึ่งเชิงรุกกับเชิงรับเนี่ยไม่ได้เกี่ยวกับการซื้อขายด้วยเงินจำนวนเยอะ หรือซื้อบ่อยแค่ไหน แต่เป็น นักลงทุนเชิงรับ (บางครั้งเรียกว่า นักลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม) คือผู้ที่ลงทุนแบบเน้นไปยังเรื่องความปลอดภัยและไม่ต้องลงมือทำอะไรมากมาย ส่วนนักลงทุนเชิงรุกคือผู้ที่ยอมเสียเวลา ลงแรง ศึกษาเกี่ยวกับลงทุนนั้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่านักลงทุนเชิงรับ คำถามคือนักลงทุนเชิงรับได้ผลตอบแทนประมาณนั้นก็ขอท่านไปดูพวกกองทุนรวมดัชนีได้กำไรเท่าไหร่ นั่นแหละคือสิ่งที่นักลงทุนเชิงรับคาดหวังว่าจะได้

พออ่านมาถึงตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยนความคิดเรื่องการลงทุนของผมเลย เพราะเมื่อลองคิดแล้วตัวผมเป็นนักลงทุนเชิงรับ เพราะผมไม่สนุกกับการที่ตัวเองต้องไปนั่งไล่อ่านงบการเงิน อ่านแผนการดำเนินงานบริษัท ทำความเข้าใจธุรกิจ ผมสนุกกับการเขียนโปรแกรม เขียนนิยาย อ่านหนังสือ มากกว่า ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นลงทุนเชิงรับแล้ว หนังสือก็แนะนำว่าควรไปลงทุนในวิธีที่เหมาะกับตัวเองน่าจะดีกว่า เพราะจะทำให้คุณสบายใจไม่ต้องกังวล และไม่ต้องเจอกับศัตรูทางการลงทุนที่น่ากลัวตัวหนึ่งซึ่งก็คือตัวคุณเอง

ศัตรูคือตัวคุณเอง

หนังสือได้บอกว่าตัวคุณเองเป็นศัตรูที่น่ากลัวในการลงทุนตัวหนึ่งเลยเพราะคุณอาจจะอารมณ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนมากกว่าเหตุผล ตัวอย่างธรรมดาที่คุณเห็นได้ชัดเลยคือเมื่อราคาหุ้นขึ้นคุณมีแนวโน้มจะซื้อมัน ทั้งๆที่คุณไม่ได้ทำการวิเคราะห์มันก่อนว่า ราคานั้นกับมูลค่าที่แท้จริงนั้นมีราคาเท่าไหร่ ถ้ามันห่างกันมากคุณไม่ควรจะซื้อมันเสียด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายอารมณ์ก็จะบอกคุณว่าเห้ยมันจะขึ้นอีกนะ ซื้อมันซะตอนนี้เลยดีกว่าแล้วพอมันขึ้นค่อยขาย ในทางกลับกันเมื่อราคาหุ้นลง คุณก็มีแนวโน้มที่จะขายหุ้นนั้น โดยถ้าคุณทำการวิเคราะห์ประเมินหามูลค่าที่แท้จริงแล้วพบว่า ราคามันถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทนั้น เหตุใดคุณจึงต้องขายมันล่ะ มันควรจะเป็นเวลาที่คุณควรจะซื้อมันสิเพราะต่อให้มันแย่ขนาดไหนคุณก็ได้กำไรเพราะถ้าขายทั้งบริษัทตามมูลค่าที่แท้จริง คุณก็ย่อมได้เงินมากกว่าตอนซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง แต่ในความเป็นจริงล่ะมันเป็นยังไง เฮ้ย ราคามันตก มันจะตกลงกว่านี้อีก รีบขายมันเลยสิจะเก็บมันไว้ทำไม นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆที่แสดงให้เห็นว่าตัวคุณเองนั่นแหละที่เป็นหนึ่งในศัตรูของการลงทุน

อ่านแล้วได้อะไร

สำหรับผมการอ่านหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนที่สุดยอดมากเพราะเป็นการสอนหลักการการลงทุนที่ปลอดภัยโดยใช้เหตุใช้ผลในการวิเคราะห์ บอกเล่าข้อผิดพลาดของนักลงทุนในอดีตว่าเขาผิดพลาดเรื่องอะไร เพราะอะไร เพื่อเราจะได้ไม่ผิดซ้ำตาม ซึ่งแตกต่างจากหนังสือสอนการลงทุนเล่มอื่นๆที่เปิดมาก็สอนวิธีที่จะทำให้กำไร บอกแต่ข้อดีของวิธีนั้น ไม่ได้พูดถึงข้อเสีย วิธีป้องกันเลย พอพูดถึงตรงนี้เพื่อไม่ให้ผมพูดแต่ข้อดีของหนังสือเล่มนี้อย่างที่ผมพึ่งพูดไป ดังนั้นผมจะขอพูดถึงข้อเสียของหนังสือเล่มนี้ซึ่งมีดังต่อไปนี้ อย่างแรกเลยคือมันไม่ได้หวือหวาอะไรเลย ออกแนวอ่านแล้วน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาไม่ได้บอกวิธีที่ทำกำไรได้ดีซึ่งไม่ตรงกับที่หลายคนคาดหวัง อย่างที่สองคือหนังสือพูดถึงเรื่องในสหรัฐซะเยอะไม่ว่าหุ้น กองทุ้น พันธบัตร ซึ่งสำหรับคนไทยนอกวงการการลงทุนอย่างผมนี่คือไม่รู้จักเลย เวลาเขาเปรียบเทียบหรืออ้างถึงมันก็จะอึ้งๆ ข้อที่สามพอเราเริ่มเข้าใจว่าตัวเองเป็นนักลงทุนเชิงรับแล้ว บางบทนั้นแทบไม่มีความน่าสนใจที่จะอ่านเลยเพราะเป็นการวิเคราะห์บริษัทซึ่งนักลงทุนเชิงรับอย่างผมนั้นจะโยนเงินไปเข้ากองทุนแบบดัชนีที่มีคนจัดการให้น่าจะดีกว่า (แต่ถ้าจะลงทุนด้วยตัวเองก็ได้นะ แต่พอมันต้องเริ่มใช้ความพยายามมันจะเริ่มกลายเป็นนักลงทุนเชิงรุก)

หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเข้าใจว่าตัวเองเป็นนักลงทุนเชิงรับ ก็ขี้เกียจทำอะไรมากมายอะนะ ไปเขียนนิยาย ทำ Blog เขียนโปรแกรมสนุกกว่าเยอะ ดังนั้นการลงทุนที่ผมทำมาตั้งแต่เริ่มซึ่งคือกองทุนรวมดัชนีก็ตอบโจทย์การลงทุนอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องไปดูตัวอื่น เช่นตราสารหนี้ระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วนในเวลาที่หุ้นดิ่งลงเหว (แต่ตอนมันดิ่งลงเหวผมก็คงไม่ขายมันออกมาอะนะ จริงๆมีเงินสดไว้อยู่แล้วแต่มันโดนเงินเฟ้อเล่นงานอยู่ทุกวัน)

จริงๆในหนังสือเล่มนี้มีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่ได้พูดถึง ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนี้ดีหรือไม่ดี มูลค่าที่แท้จริงควรจะเป็นเท่าไหร่ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยคืออะไร จะจัดการเงินเฟ้อยังไง จะตรวจสอบที่ปรึกษาทางการเงินอย่างไร เป็นต้น โดยส่วนตัวถ้าคุณพอมีเงิน หรือสามารถไปยืมจากห้องสมุดได้ ผมก็แนะนำให้ไปหาอ่านครับ รับรองคุ้มกับเวลาและเงินที่เสียไปแน่นอน

ความทรงจำปี 2021

ปี 2021 ที่ผ่านมา

สำหรับปีนี้มาเขียนบันทึกเกี่ยวกับปีที่ผ่านมาช้ากว่าปกติเพราะป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล จะลุกมาเขียนอะไรแบบนี้ไม่น่าจะรอด ก็เลยมาเขียนหลังจากปีใหม่ไปแล้วแทนละกัน สำหรับปี 2021 นั้นมันไวมาก ไวแบบไวจริงๆ ผมยังจำเป้าหมายที่จะทำตอนปี 2021 ได้อยู่เลยว่าอยากจะทำอะไร ซึ่งพอมาดูแล้วบอกเลยว่าไม่สำเร็จสักเป้าหมาย

งาน

สำหรับปีนี้เรื่องงานนั้นถือว่าเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา มีเจ็บใจในหลายๆงานที่เราพยายามตั้งใจทำเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับไม่มีคนใช้เนื่องจากคุยทางธุรกิจไม่ลงตัว คือแบบเราเขียนใส่ทุกความรู้ความสามารถ Design พยายามทำออกมาให้ดีที่สุดแต่กลับไม่ใช้เพราะเหตุผลอะไรแบบนี้ แต่ถ้ามองในแง่ดีก็คือเราไม่ต้องมาคอย Maintain มัน อีกทั้งยังเป็นบทเรียนให้กับผู้บริหารที่อยากทำ อยากขาย ให้เขาคิดให้เยอะกว่าเดิม ประเมินว่ามันเป็นไปจริงรึเปล่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาพัฒนา Application แล้วไม่ได้ใช้แบบนี้

ส่วนเรื่องที่ท้าทายก็เป็นการพยายาม Set up “Minio” ขึ้นมาใช้กันเองในระดับ Production เพื่อบริการลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลที่ต้องการเก็บแบบยาวนานและต้องเก็บในประเทศไทย แถมที่เราจะทำกันนี่คือทำไม่ได้ Set up แบบที่คนส่วนใหญ่ทำกัน เช่นใช้ Kubernetes ใช้ VM Ware ทำ แต่ที่เราทำทำโดยใช้ Docker swarm เสียด้วย ซึ่งตอนทำก็สนุกกับการลองผิดลองถูก ไล่อ่าน Manual ว่ามัน Set ยังไง ทำความเข้าใจ Concept ของมัน แต่สุดท้ายบริษัทก็ไม่ได้ตัดสินใจใช้ตัวที่เราทำเพราะมันต้องดูแลเยอะกว่า แล้วก็อาจเกิดปัญหาที่เราไม่เคยเจอ จะบริการลูกค้าก็อาจจะเกิดปัญหาและทำให้ลูกค้าไม่พอใจ ดังนั้นการเลือกเจ้าที่เขาเคยให้บริการลูกค้ามาแล้วมาประสบการณ์น่าจะตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่า

ส่วนตำแหน่งก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมไม่เลื่อนไปไหน ซึ่งสำหรับก็ถือว่าโอเคนะ เพราะได้ทำงานที่ตัวเองชอบจริงๆ ไม่ต้องไปทรมานกับงานที่ไม่ชอบ

สำหรับปีนี้ก็มีตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับงานไว้ว่าจะลองเริ่มทำ Kubernetes cluster ใช้กันเองภายในเพื่อเตรียมตัวเปลี่ยนผ่านจาก Docker swarm ไปใช้ Kubernetes ในอนาคตที่บริษัทอาจจะย้ายไปใช้ Cloud หรือ Hardware พร้อม Kubernetes solution

ความรัก

ตอนปีที่แล้วเคยเขียนไว้ว่าเจอผู้หญิงคนนึงที่ชอบมาก แต่ตัดสินใจว่าจะไม่จีบเพราะดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ ก็เลยแค่มองห่างๆ พยายามช่วยเหลือเท่าที่เราพอช่วยเขาได้ แต่ทุกสิ่งที่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลง วันนึงเขาก็จากไป จากไปแบบที่เราคิดว่าไม่น่าจะได้เจอเขาอีก ตอนนั้นสมองก็ได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าปล่อยไปแบบนี้ตัวเราจะไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่เราอยากบอกกับเขาอีกแล้วนะ มันไม่มีโอกาสที่สองอีกแล้ว ถ้าจะทำก็ทำซะตอนนี้” ตอนนั้นก็เลยบอกความในใจกับคนที่ชอบ (ผ่าน LINE เนื่องจากสถานการณ์ โควิด) ซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้แหละ คือเราก็ไม่ได้จีบเขาแบบจริงจัง ไม่ได้สร้างความประทับใจอะไร Life style ก็ไม่เหมือนกันก็สมควรที่เขาจะตอบแบบนั้น

ส่วนคนที่ชอบอีกคนก็ได้จากไป สำหรับคนนี้เป็นความชอบที่ประหลาดมากๆ เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ตรงสเปคอะไรที่ผมเคยตั้งไว้เลย แต่คนนี้เป็นผู้หญิงที่มีนิสัยที่ผมชอบมาก และที่ประหลาดกว่านั้นก็คือผู้หญิงที่ผมชอบคนนี้เขามีแฟนแล้ว คุณอ่านไม่ผิดครับ “เขามีแฟนแล้ว” แต่ผมก็บอกกับผู้หญิงคนนี้เสมอเลยนะว่า “ถ้าเลิกกับแฟนเมื่อไหร่ก็บอกนะเราพร้อมจีบเสมอ” ซึ่งจริงๆมันก็เป็นไปไม่ได้แหละครับ และผมก็ไม่อยากให้เขาเลิกกันด้วย เพราะผมก็เห็นว่าเขามีความสุขมาก ถ้าเขาเลิกกันคนที่ผมชอบคงไม่มีความสุขแน่ๆ ถ้าถามหาตัวอย่างการเห็นคนที่เราชอบมีความสุขกับคนอื่นเป็นแบบไหนก็คงจะเป็นกรณีนี้แหละที่ทำให้ผมเข้าใจได้ดี

สุดท้ายสำหรับตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ เพราะตอนนี้เราก็ยังสงสัยกับความรู้สึกรักที่เหมาะสมกับเรานั้นมันคืออะไร ก็คงจะต้องลองค้นหา เรียนรู้กันต่อไป

ตามศิลปิน

ปีนี้รู้สึกเสียเงินกับศิลปินเยอะมากๆจนเริ่มคิดว่า “เฮ้ย ต้องลดลงแล้วนะ” ก็เลยเริ่มลดกิจกรรมพวกนี้ลง คัดเหลือเฉพาะคนที่เราอยากสนับสนุนจริงๆ แล้วของที่ได้ต้องคุ้มกับราคาที่เราเสียไปด้วย ตอนนี้วงที่คอยสนับสนุนคงเป็นวงของค่าย SETL Entertainment (ค่ายนี้ทำวง meltmallow มาแล้ว เพลงดีทุกเพลง) เพราะค่ายนี้ทำเพลงดีมีความหมาย ก็ถ้าใครอยากฟังเพลงเพราะความหมายดี ตั้งใจทำเพลงแบบจริงๆผมก็แนะนำเพลงและศิลปินจากค่ายนี้เลย

สุขภาพ

ปีนี้เป็นปีที่ร่างกายรับบทหนักมาก เริ่มจากเป็นโควิดก่อนเลยคือเป็นแบบไม่คาดคิดไม่คาดฝันตัวเองก็ WFH อยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหนหลายเดือนแต่มาติดเพราะที่บ้านเปิดร้านซ่อมจักรยาน คนที่มาซ่อมจักรยานนั้นเป็นก็เลยส่งต่อมาให้คนในบ้าน ตอนที่รู้ว่าเป็นนี่คือสิ้นหวังมาก เพราะโทรไปติดต่อไปที่โรงพยาบาลไหนก็ไม่มีเตียง ที่บ้านก็มีผู้สูงอายุอยู่หลายคน โทรไปหาหน่วยงานของรัฐให้ส่งยามาให้ก็ดำเนินการช้ามาก จนแบบนี่เราจะรอดกันไหมวะ สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือจากคนรู้จัก เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน คนที่บริษัท ญาติ ก็หาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากช่องทางเอกชนและโรงพยาบาลที่ไม่อยู่ในเขตที่เราอยู่ ( ผมไม่ใช่คนกรุงเทพ แต่ได้รับความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลศิริราชในกรุงเทพ) จนสามารถหาเตียงและได้ยามาช่วยคนในบ้านให้รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปได้ ส่วนของที่ระลึกการเป็นโควิดของผมครั้งนี้ก็คือปอดที่เสียหายไปจากการที่เชื้อลงปอด ตอนรู้ว่าปอดเสียหายนี่แบบร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว มาปอดเสียอีก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ชีวิตมันจะบัดซบอะไรขนาดนั้น

แต่ความซวยยังคงดำเนินต่อไป ตอนเกือบๆสิ้นปีอยู่ดีๆก็ป่วยเป็นไข้แล้วเป็นไข้แบบไม่หายด้วยนะ เป็นติดต่อกันหลายวันมากๆ ตอนแรกนึกว่าจะเป็นโควิดอีกรอบ แต่ไปตรวจ RT-PCR แล้วไม่ได้เป็น จนสุดท้ายเลยตัดสินใจลอง Admit นอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลือกับดูอาการแบบละเอียด พอหมอเจาะเลือดไปตรวจก็พบว่าเป็นไข้เลือดออก “ไข้เลือดออก” เลยต้องนอนโรงพยาบาลเป็นของขวัญรับปีใหม่

อารมณ์

ปีนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่อารมณ์เย็นลงไม่ขึ้นง่ายแบบสมัยก่อน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเริ่มมีอายุแล้ว (หนังสือเกี่ยวกับสมองที่เขียนโดยหมอที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสมองได้พบว่าสมองมนุษย์จะเริ่มหยุดเจริญเติบโตเมื่ออายุประมาณเกือบ ๆ 30) อีกทั้งเมื่อต้องมาเจอปัญหาหลายๆอย่างที่ใช้เฉพาะ Logic แก้ไม่ได้ แต่ต้องใช้เวลาร่วมในการแก้ไขด้วย การจะใช้อารมณ์ร้อนเพื่อหักให้จบอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป การใจเย็นค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหา คิดหาวิธีที่หลากหลายและเหมาะสมมากกว่าแตกหักกันอาจจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่ก็ใช่ว่าความเดือดมันจะลดลงนะ มันเดือดแต่พอใช้เหตุผลมาคิดการเดือดแลัวหักมันไม่คุ้มค่าพอก็เลยไม่ทำ แต่ถ้าเรื่องไหนมันเดือดแล้วแตกหักมันดีกว่าผมบอกว่า “แตกหัก” แน่นอน

ทำช่อง Youtube ทำ Podcast

จริงๆผมก็ทำ Blog มาหลายปีแล้ว แล้วก็เริ่มทำ Page Facebook เมื่อปี 2020 ซึ่งยอดคนดูก็ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ทำเรื่อยๆเป็นงานอดิเรกกับอยากเผยแพร่ความรู้ที่ตัวเองเจอให้กับคนที่ผ่านเข้ามาได้มารู้ด้วย จนวันนึงผมไปเห็นคอร์สสอนเรียนเกี่ยวกับ IT คอร์สนึงซึ่งราคาหลายพันบาท ซึ่งผมรู้สึกว่า “เฮ้ย ความรู้มันขายกันแพงขนาดนี้เลยเหรอวะ” ก็เลยคิดขึ้นได้ว่าตอนเด็กเราก็ไม่มีเงินไปเรียนพิเศษอะไรแบบนี้ แล้วเราก็ชอบเห็นคนบ่นเรื่องปัญหาเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแต่ก็ไม่ออกมาทำอะไรเป็นรูปธรรมมากกว่าการบ่น ตัวเราก็พอจะเคยติวเพื่อนมาเหมือนกันก็เลย “เอาวะ ลองทำคอร์สสอนเรียนแบบฟรีๆดูสักคอร์สละกัน” ก็เลยกำเนิดเป็นช่อง Youtube : Normal Programmer ขึ้นมา ซึ่งพอลองทำก็สนุกนะแต่มันก็เหนื่อยมากๆที่ต้องเตรียมเนื้อหา เตรียมตัวอย่าง แล้วพอเราลองไป Search ใน Youtube ก็มีคนทำคล้ายๆเราเหมือนกัน แถมมีคุณภาพดีกว่าเราอีกด้วยก็เลยพับ Project ที่จะทำสอนเรื่องอื่นต่อ ( แต่จริงๆก็มีแผนจะทำสอนเรื่อง Design Database แบบพื้นฐานอยู่เหมือนกัน แต่ต้องเตรียมตัวอย่างกับเนื้อหาก่อน )

ส่วน Podcast เนี่ยมาเริ่มเพราะอยากเล่าประสบการณ์และความรู้ในการเป็น Programmer กับเด็กจบใหม่และคนที่อยากมาเป็น Programmer ว่าวงการนี้เป็นยังไง ต้องเจออะไรบ้าง อีกทั้งเราก็มาคิดว่าตอนเรามาเริ่มเป็น Pgorammer เนี่ยเราไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไร การที่เราทำอะไรแบบนี้ก็น่าจะมีประโยชน์กับคนที่มาฟัง

ซึ่งการทำทั้งสองอย่างเนี่ยมีคนมาดูน้อยมาก น้อยแบบคนฟังคนดูประมาณ 1 - 2 คนต่อคลิป เห็นแล้วแบบ เรากำลังทำอะไรอยู่วะ แต่พอมาคิดอีกทีก็นึกได้ว่าเราทำเพราะอยากทำ สิ่งที่เราทำเราคิดว่ามีประโยชน์ดังนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องหยุดทำนี่หว่า

เป้าหมายเมื่อปีที่แล้ว

เป้าหมายปีที่แล้วที่อยากทำมีดังต่อไปนี้

  • เล่นกีต้าร์

สำหรับอันนี้จบลงด้วยไม่ได้หัดเล่นเพิ่มเลยเพราะเอากีต้าร์ไว้ที่ทำงานกะไว้เล่นหลังเลิกงานแต่ดันมาเจอ WFH เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้หัดเล่นเลย

  • เขียน Blog ให้ถึง 150 บทความ

อันนี้ก็ล้มเหลวเพราะไม่รู้จะเขียนอะไร ถึงจะพยายามสรุปหนังสือที่ตัวเองอ่านมาลงทุกสัปดาห์แต่สุดท้ายมันก็หมดไฟที่จะเขียน มันเหมือนเราจะเขียนอะไรสักอย่างมันต้องมีไฟ มีความอยาก พอเราทำแบบเยอะๆความอยากมันเลยลดลงจนสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นอยากเขียนเมื่ออยากเขียนเลยทำไม่ได้ตามเป้า

  • แปลนิยายภาษาอังกฤษ

อันนี้กะทำเพื่อพัฒนาความรู้ภาษาอังกฤษของตัวเอง แต่พอแปลจริงๆมันเหนื่อยมากๆสำหรับคนที่ไม่เป็น แถมเรื่องที่แปลนี่แบบอย่างเก่า สำนวน ศัพท์ นี่โคตรเข้าใจยาก แต่ถามแปลแล้วสนุกไหม ก็คงต้องตอบว่าสนุกเพราะนิยายที่แปลเป็นนิยายระดับตำนาน แปลแล้วเหมือนโดนไม้ฟาดหน้าอยู่ตลอดเวลา เพราะมันมีอะไรที่บอกผ่านตัวหนังสือเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ความเชื่อ การต่อสู้ผ่านหนังสือ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ ก็ถ้ามีอารมณ์อยากแปลก็จะแปลต่อให้จบ ก็ถ้าใครรอแปลให้จบนี่บอกเลยว่าไม่ต้องรอแปลนะครับ ไปอ่านตาม Link ที่ผมแปะไว้ในตอนที่แปล หรือไปซื้อแปลไทยมาอ่านเลยน่าจะดีกว่า

  • เขียนเรื่อง Design Database

อันนี้ก็เป็นอีกความตั้งใจที่ทำไม่สำเร็จ เพราะมัวแต่เอาเวลาไปทำอย่างอื่น (เล่นเกมส์ อ่านหนังสือปรัชญา) ก็เลยไม่ได้เขียน Blog สอนการ Design database ก็ถ้าเป็นไปได้ปี 2022 คงจะทำเป็นคลิปสอน Design database กับเขียนเป็นตอนๆลง Blog แบบจริงจัง

ปี 2022 ทำอะไรดีล่ะ

  • ทำ podcast ทุกสัปดาห์

อันนี้เกิดจากความตั้งใจว่าอยากจะแชร์ประสบการณ์การเป็น Programmer เพื่อเป็นข้อมูลให้กับโปรแกรมเมอร์หน้าใหม่ หรือคนที่อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ได้มาฟัง

  • อ่านหนังสือทุกวัน

อันนี้คืออยากเพิ่มความรู้เรื่องอื่นในชีวิตที่มากกว่าการเขียนโปรแกรมก็เลยตั้งกฏกับตัวเองว่าให้อ่านหนังสือวันละ 30 นาที ซึ่งลองทำมาได้หลายเดือนก็รู้สึกว่าเออสนุกดี ได้รู้อะไรใหม่ๆเยอะแยะ แถมมีเรื่องมาเขียนใน Blog ด้วยก็เลยเอาวะ ลองตั้งเป้าหมายเล่นๆดู

  • เล่นกีต้าร์

อันนี้ก็เหมือนกับปีที่แล้ว อยากเล่นเป็นจริงๆ อยากมีอารมณ์เป็นศิลปินนั่งเล่นเพลงที่อยากเล่น

  • หาอาชีพเสริมที่ได้เงินแบบจริงๆจังๆ

คือจริงๆผมก็พยายามหาอาชีพเสริมทำอยู่เหมือนกันเพราะอยากจะเอาเงินไปทำอย่างอื่นเพิ่ม และกันตัวเองเผื่อตกงาน ซึ่งจริงๆผมก็ลองเขียนนิยายลง fictionlog บ้างแล้วแต่คนอ่านน้อยแล้วก็ไม่ใช่แนวที่คนเข้าใจง่าย ดังนั้นก็เลยเลิกเขียนไป ตอนนี้ก็เลยไม่รู้จะหารายได้เสริมช่องทางไหน แต่ก็ตั้งเป้าว่าต้องทำให้ได้สักที่

  • ลองเล่น IOT

คือจริงๆอันนี้ก็อยากเล่นหลายปีละ แต่มีปมเรื่องเกี่ยวกับเรื่อง Hardware ที่แม่งชอบมีบัคที่ไม่เกี่ยวกับ Logic ก็เลยไม่ค่อยอยากทำ แต่ดูเหมือนว่ามันมีอะไรน่าเล่นหลายอย่างก็มากๆในตอนนี้ (จริงๆมันไม่ค่อยบูมเท่าไหร่แล้ว ดังนั้นองค์ความรู้ต่างๆมีให้อ้างอิงเยอะพอแล้ว) ก็เลยเอาวะลองซื้อมาเล่นดู

สำหรับปี 2021 ก็คงเป็นอีกปีที่ผ่านไป เป็นอดีตที่มีอะไรให้เรียนรู้เยอะ ทั้งเรื่องดีก็ไม่ดี ผมจะไม่บอกว่ามันเป็นปีที่ดีหรือไม่ดีเพราะมันเป็นการมองจากตอนนี้ ไม่แน่ในอนาคตเราอาจมองมันดีก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะยึดถือก็คือ “อยู่กับปัจจุบัน”

เพลงที่ได้ฟังในปีนี้

ฉันไม่เดียงสา
Hello bye
Meltaway
ขอให้เธอเจอคนแบบเธอ
เก่งแต่เรื่องคนอื่น
สองใจไม่ผิด
บ้าบอ
กล่อง
Excellent
My Inspiration
ซ่อนแอบ
จม
สายตาหลอกกันไม่ได้
อีกไม่นาน นานแค่ไหน
ดอกไม้กับแจกัน
Love Lesson 101
Sea shore
ถามคำ
ช่วยไม่ได้
ลงใจ
Leave the Door Open
GUCCI BELT
ขอถามสักหน่อย
โอ๊ย
ขอเวลาตั้งตัว
คนเดิมของฉัน
ความจริงเป็นสิ่งที่ตาย
ดาวกับพระจันทร์

จากดับสูญสู่นิรันดร์ - From here to Eternity

จากดับสูญสู่นิรันดร์ - From here to Eternity

จากดับสูญสู่นิรันดร์ - From here to Eternity

สำหรับหนังสือเล่มนี้ก็เป็นอีกเล่มที่ซื้อเพราะอยากให้จำนวนเล่มมันถึงจำนวนเล่มที่ได้ส่วนลด จึงไม่ค่อยได้คาดหวังอะไรมาก ซึ่งเมื่อได้อ่านก็เลยทำให้รู้สึกกลางๆ แต่ก็มีเรื่องน่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวัฒนธรรมและความเชื่อของแต่ละที่ที่ผู้เขียนได้ไป แต่ส่วนหนึ่งที่ผมไม่ชอบคือคนเขียนมักใส่การจิกกัดกับพิธีศพในปัจจุบันซึ่งผู้เขียนมองว่ามันไม่ดีแบบนั้นแบบนี้ แต่สิ่งที่ตัวหนังสือบอกว่า เราควรเคารพพิธีกรรมของแต่ละที่ แต่ตัวผู้เขียนเองกลับต่อว่าพิธีของคนในปัจจุบัน ดังนั้นมนุษย์ที่มี Logic ก็เลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่เขาพูดแบบนั้น แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ออกหนังสือก็เล่าเรื่องพิธีกรรมเกี่ยวกับศพที่ไม่เคยรู้หลายเรื่อง

พิธีกรรมแต่ละและความเชื่อแต่ละที่ไม่เหมือนกัน

หนังสือเล่าบันทึกของ Herodotus ที่บันทึกเกี่ยวกับผู้ปกครองอาณาจักรเปอร์เซียได้ถามชาวกรีกที่มีจัดพิธีศพโดยการเผาร่างของผู้ตาย “อะไรที่จะทำให้พวกเขากินเนื้อของบิดาที่เสียชีวิตไปแล้วบ้าง” ชาวกรีกก็ตอบทันทีว่า “ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขากินเนื้อของบิดาของตนที่ตายไปแล้ว” ไม่นานผู้ปกครองก็เรียกชาว Callatian ซึ่งจัดพิธีศพโดยการกินเนื้อศพผู้ล่วงลับ (ใช่ครับคุณอ่านไม่ผิด เขากินเนื้อศพครับ) แล้วถามว่า “อะไรที่จะทำให้พวกท่านเอาศพของบิดาท่านไปเผา” ชาว Callatian ก็บอกเช่นกันว่าไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาเอาศพของบิดาของตัวเองไปเผา ซึ่งพอเปิดด้วยเรื่องนี้แล้วมันทำให้เราเห็นมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับการจัดพิธีศพว่ามันมีหลากหลาย (กินเนื้อศพ อะ โคตรแล้ว) และเราก็ไม่ควรตัดสินมุมมองการจัดพิธีศพของผู้อื่นโดยใช้มุมมองการจัดพิธีศพของเรา แต่โดยส่วนตัวสำหรับเรื่องนี้คนที่แตกต่างก็ต้องยอมรับการที่คนอื่นมองคุณว่าประหลาด เพราะมุมมองของเขามันไม่ปกติ ลองไปงานศพแล้วเจอคนกำลังหั่นเนื้อศพมากินแบบชาว Callatian อันนี้เราก็น่าจะช็อกกันน่าดู อาจจะถึงโทรเรียกตำรวจทันที

การจัดพิธีศพของ : อินโดนิเซีย : สุลาเวสีใต้

ผู้เขียนหนังสือเล่าพิธีศพของชาวสุลาเวสีใต้ว่าเขาจะเก็บศพของผู้ตายไว้โดยมีทั้งไปเก็บรวมไว้เป็นสุสานหรือถ้ามีที่มีเงินหน่อยก็เก็บไว้ที่บ้านเลย โดยศพที่เขาเก็บไว้เนี่ยเขาจะมีวิธีการรักษาศพคือใช้น้ำยาที่ชาวบ้านเขาคิดขึ้นมาแบบโบราณทาและฉีดเข้าตัวศพ หรือแบบสมัยใหม่หน่อยก็จะฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปในศพเลย จากนั้นเขาก็จะทำความสะอาดศพใส่เสื้อผ้าแล้วก็เอาศพเก็บไว้ที่ที่จะเก็บ โดยถ้าเก็บไว้ที่บ้าน เขาจะดูแลศพประหนึ่งเป็นคนคนหนึ่งในบ้านเลย มีทำอาหารไปให้ ไปพูดคุย อาบน้ำ วันสำคัญที่ญาติกลับมาเยี่ยมบ้านก็มีถ่ายรูปครอบครัวกับศพที่อยู่ในบ้านด้วย (คุณอ่านไม่ผิดครับ ถ่ายรูปครอบครัวกับศพที่เก็บไว้) บางบ้านนี่เก็บศพปู่ไว้ จนหลานที่เกิดใหม่มาโต และก็ไปพูดคุยกับศพของปู่ ทำความรู้จักกับปู่ ประหนึ่งปู่ยังไม่ตาย โดยความเชื่อของชาวสุลาเวสีใต้ (จริงๆเป็นแค่หมู่บ้านไม่กี่หมู่บ้านในสุลาเวสีใต้นะครับ) เขาเชื่อกันว่าคนตายน่ะแค่ตายวิญญาณยังคงอยู่ในร่างนั้น จนกว่าจะมาทำพิธีเอาวิญญาณออกจากร่างก่อนวิญญาณจึงจะออกจากร่าง ผู้เขียนกล่าวชมพิธีการศพอะไรแบบนี้บอกว่ามันดูเป็นพิธีกรรมที่มีความรู้สึก ความรัก ที่ผู้อยู่มอบให้ผู้ตาย ซึ่งดูดีกว่าพิธีศพในปัจจุบัน (ของชาวอเมริกา) ที่เข้าไปนั่งรอส่งโลงเข้าเตาเผา ไม่ได้มีการที่ลูกหลานคนในครอบครัวได้อาลัยกับศพเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งผู้เขียนยังบอกอีกว่ามันเป็นการทำคนกลัวความตายไม่กล้าเผชิญหน้ากับความตาย (ผมไม่ค่อยเห็นด้วยแต่เดี๋ยวผมค่อยใส่ความเห็นของผมข้างล่างละกัน)

เผาศพกลางแจ้ง

สำหรับคนไทยแบบเราๆการเผาศพกลางแจ้ง(เผาศพแบบเชิงตะกอน) เป็นอะไรที่ไม่แปลก แต่สำหรับผู้เขียนดูจะชื่นชมอะไรแบบนี้มาก ซึ่งผมก็พอจะเข้าใจคงไม่ชอบการพิธีศพแบบชาวอเมริกาที่จัดเป็นพิธีแบบเป็น Pattern อะไรไปหมด ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ที่เจอว่าเป็นพิธีที่สุดซึ้ง มีคนมาร่วมงานวางดอกไม้เพื่อจะเผา มีการแห่ศพ ต่างๆนาๆ ซึ่งสำหรับผมมันคืองานแบบไทยสมัยก่อนเลย ที่มีแห่ศพ โยนข้าวตอก (มันมีความหมายนะครับ ข้าวตอกคือข้าวที่ไม่สามารถปลูกได้แล้ว เปรียบเทียบกับความตายคือตายก็ตายไปเลย กลับมามีชีวิตไม่ได้) แล้วก็ไปเผา รอเก็บกระดูก ต่างๆนาๆนั่นแหละ ผู้เขียนพยายามบอกว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ แต่ทางการสหรัฐกลับพยายามขัดขวางการจัดพิธีศพแบบนี้

อ่านแล้วได้อะไร

ในหนังสือยังมีเล่าพิธีศพของอีกหลายๆประเทศ ทั้งญี่ปุ่น แม็กซิโก พิธีแบบการฝัง การปล่อยให้แร้งลงมากิน ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจ แต่ส่วนที่ไม่ชอบคือการที่ผู้เขียนพยายามบอกว่าพิธีศพแบบปัจจุบันนั้นแย่ ไม่ดี ต่างๆนาๆ ทั้งๆที่ตัวผู้เขียนพยายามบอกด้วยซ้ำว่าอย่าไปตัดสินพิธีศพแบบอื่น ผมพอเข้าใจว่าทำไมผู้เขียนถึงไม่ชอบ สาเหตุที่ผู้เขียนไม่ชอบเนี่ยเพราะการจัดพิธีศพเนี่ยมันกลายเป็นธุรกิจ มีการจัด Package มีการกำหนดการต่างๆแบบเป๊ะๆ เหมือนทำๆให้จบไป ผมไม่เถียงเลยครับว่ามันเป็นธุรกิจจริงๆ ที่ไทยคุณลองไปที่วัดแล้วถามวัดก็ได้นะครับว่าจะจัดงานศพเนี่ยมีแบบไหนบ้าง หลายวัดเขามีเลยครับ จะสวดกี่วัด สวดควบไหม มีอาหารให้แขกแบบไหนบ้าง เขาจะมีราคาทั้งหมดมาให้เราเลย แถมมีสัปเหร่อคอยจัดงานให้ครบ มีคนดำเนินงานให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะถวายผ้าบังสุกุล เริ่มนำสวด แต่ในมุมมองผมผมก็มองว่ามันก็คือการอำนวยความสะดวกให้สำหรับคนที่ไม่รู้พิธีการ ใจความสำคัญจริงๆของงานศพสำหรับผมคือการได้จัดการกับผู้ที่ตายไปแล้ว ดูเขาเป็นครั้งสุดท้าย ทราบว่าเขาจะตายจากไปแล้ว เขาจะไม่ได้เจอกับเราอีกแล้ว คนที่อยู่ก็อาจจะมาขอขมา หรือมาอภัยในสิ่งต่างๆที่เคยทำกันมาจะได้สบายใจ ซึ่งทั้งหมดมันทำเพื่อคนเป็น ใช่ครับ ผมมองว่ามันเป็นงานสำหรับคนเป็น ถ้าคุณไปในงานคุณจะเห็นอะไรหลายๆอย่าง เช่น คุณจะเห็นคนเอาข้าวไปให้ศพกิน ถามจริงว่าศพมันกินข้าวได้ไหม มันกินไม่ได้ไง แล้วทำไมคุณถึงต้องเอาไปให้ มันทำให้เห็นไงว่าคนตายไปแล้วกินไม่ได้ ถ้าอยากให้เขากินอะไรก็ควรให้กินตอนเขาอยู่ จะมาขออภัยกันทำไมตอนเขาตายทำไม เขาอยู่ทำไมไม่ขอ อีกทั้งมันเป็นการเตือนสติให้คุณทราบว่า “ความตาย” ไม่ใช่เรื่องตลก ตายคือจบทำอะไรไม่ได้แล้วและความตายอาจเลือกเวลาไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ผู้ไปร่วมพิธีศพควรทราบ ควรรู้ ในมุมมองของผม ไอพิธีศพที่เอาคนตายมาอยู่ด้วยเรื่อยๆ(ของสุลาเวสีใต้) สำหรับผมมันก็แค่การหลอกตัวเองว่าเขายังอยู่ เขายังไม่ไปไหน ผมเข้านะว่าพิธีแบบนั้นมันเป็นการบรรเทาความเจ็บปวดของคนที่ยังอยู่นั่นเอง สุดท้ายพิธีแบบไหนคงไม่สำคัญ สำคัญว่าคนอยู่จะรู้และได้อะไรจากการเห็นความตายตรงหน้ามากกว่า

สำหรับใครอยากรู้ว่าบนโลกนี้มีการจัดพิธีศพแบบอื่นที่เราเคยเห็นในประเทศไทย วิธีจัดการศพที่ไม่ใช่การเผา ผมก็แนะนำในระดับกลางๆในการซื้อมาอ่านเพราะเนื้อหามันน้อยและไม่ได้ลงรายละเอียดแบบลึกๆ ความหมายที่ทำไมต้องทำแบบนั้นครับ