Candide ตอนที่ 9

ตอนที่ 9 : อะไรจะเกิดขึ้นกับ Cunegonde Candide หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวน และ Don Issachar

หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนคือชาวฮิปรูที่เจ้าอารมณ์ที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมาตั้งแต่พวกเขาโดนจับที่บาบิโลน

“นี่มันอะไร นางแพศยา เจ้ามีข้าและหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนยังไม่พอเหรออีกเหรอถึงต้องเอาเจ้าชั่วนี่มาใช้ร่วมอีก” Don Issachar กล่าว พร้อมกับดึงกริชยาวที่พกติดตัวตลอดออกมา และพุ่งเข้าใส่ Candide ทันที แต่ Candide ก็ใช้ดาบที่ได้มาพร้อมกับชุดที่ได้จากหญิงชรามาใช้ต่อสู้ ถึงแม้ Candide นั้นจะเป็นคนจิตใจอ่อนโยน แต่ในเหตุการณ์นี้เขาแทง Don Issachar จนตายและศพล้มลงที่ปลายเท้าของ Cunegonde

“โอ้ พระเจ้า” Cunegonde ร้องลั่น “มีคนตายที่นี่ ถ้าเจ้าหน้าที่ยุติธรรมมา อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเรา”

“ถ้าอาจารย์ Pangloss ไม่ถูกแขวนคอ ตอนนี้เขาคงจะให้คำปรึกษาที่ดีแก่เราได้เพราะเขาเป็นนักปรัชญาที่เก่งกาจ แต่ตอนนี้คงหวังพึ่งเขาไม่ได้แล้ว เราควรขอคำปรึกษาจากหญิงชรา” Candide เอ่ยขึ้น

หญิงชราผู้มีความรอบคอบเยือกเย็นได้ให้คำปรึกษาทันทีหลังจากที่ประตูห้องเธอถูกเปิดออกอย่างกะทันหันพร้อมคำถามของ Cunegonde

ตอนนี้ผ่านไปหลังจากเที่ยงคืน ตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของวันอาทิตย์ วันนี้เป็นวันของหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวน เขาเข้ามาแล้วเจอ Candide ถือดาบ และมีศพนอนอยู่บนพื้น

ในขณะนั้น Candide ก็กำลังใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าผู้ชายคนนี้ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้ เขาจะต้องจับข้าไปเผาและ Cunegonde ก็คงจะโดนจับไปเผาเช่นเดียวกัน เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ เขาเป็นคู่แข่ง และ ตอนนี้ข้าได้ฆ่าคนไปแล้ว ข้าจะฆ่าเขาโดยไม่ลังเลอีกแล้ว เมื่อคิดทุกอย่างเรียบร้อย Candide ก็ตัดสินใจแทงหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนทันทีโดยไม่ทันให้เขาคลายจากความงุนงงกับภาพที่เกิดขึ้น Candide เอาศพของหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนไปวางข้างๆ Don Issachar

“นี่เจ้าฆ่าคนอีกแล้ว ต่อจากนี้คงไม่มีใครมอบความเมตตาให้กับเรา เราจะต้องตายแน่ๆ เจ้าทำได้อย่างไร เจ้าที่เป็นคนที่มีความเมตตาและอ่อนโยน แต่ในตอนนี้เจ้าฆ่าคนไปสองคนในเวลาแค่ 2 นาที “

Candide ตอบกลับไปว่า “ยอดรักของข้า สิ่งที่ทำให้เกิดคือ ความรัก ความอิจฉา และ หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนนั้นทำให้ข้าโดนเฆี่ยน ซึ่งด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำไมข้าจะไม่ฆ่าเขา”

หญิงชราเอ่ยขึ้นมาว่า

“ที่นี่มีม้า Andalusian อยู่สามตัวและมีบังเหียนและอานอยู่ในคอกม้า เรื่องนี้ปล่อยให้ Candide เป็นคนจัดการ ส่วนท่านหญิงท่านเตรียมเงิน อัญมณี เราจะออกจากที่นี่ด้วยการควบม้าให้เร็วที่สุด แม้ว่าข้าจะนั่งบนม้าได้แค่สะโพกข้างเดียว โดยเราจะมุ่งหน้าไปที่ Cadiz ซึ่งที่นั่นเป็นที่ที่อากาศดีที่สุดในโลก และมันจะเป็นการเดินทางยามค่ำคืนที่ดี”

ไม่นานหลังจากนั้น Candide เอาบังเหียนและอานม้าใส่ให้กับม้า ทั้งสามเดินทางเป็นระยะทาง 30 ไมล์ ในขณะเดียวกันนั้น เหล่าคนของโบสถ์ได้เข้าไปที่บ้านและพบศพของคนทั้งสอง ศพของหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนถูกฝังอย่างดีที่โบสถ์ ส่วนศพของ Don Issachar นั้นถูกทิ้งในกองขยะ

Candide Cunegonde และหญิงชราได้มาถึงเมืองเล็กของ Avacena ซึ่งอยู่ในใจกลางของเขา Sierra Morena และทั้งหมดได้เข้าพักในโรงแรม

คุยกันหลังแปล

ช่วงนี้งงกับการแทนตัวละครมากว่าตกลงใครเป็นใคร จริงๆแปลผิดตั้งแต่ตอนที่ 8 แล้วด้วย พอมาอ่านอ้าวมันไม่ได้มาพร้อมกันนี่หว่าเลยต้องกลับไปแก้ที่แปลตอน 8 เสร็จตอนนี้อาจจะหายไปยาวๆนะครับ รู้สึกเริ่มเบื่อการแปลเรื่องนี้ อาจจะไปหาอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาแปลต่อ แต่ยังไงก็พยายามแปลให้จบเรื่องเพราะเป็นเป้าหมายในปีนี้

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

Candide ตอนที่ 8

ตอนที่ 8 : เหตุการณ์ในอดีตของ Cunegonde

“ข้ากำลังหลับอยู่บนเตียงในขณะที่พระเจ้าได้ส่งพวกบัลแกเรียมาที่ปราสาทอันสวยงามของบารอน Thunder-ten-Tronckh พวกมันฆ่าพ่อ พี่ชาย และ แม่ของข้า โดยทหารชาวบัลแกเรียที่สูง 6 ฟุต ภาพนั้นทำให้ข้าสลบลงไป หลังจากได้สติ ข้าร้องไห้ ข้าดิ้น ข้ากัด ข้าข่วน ข้าอยากจะควักลูกตาของทหารชาวบัลแกเรียที่มันทำกับครอบครัว ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปราสาทเมื่อมันถูกยึดได้จากสงคราม เจ้าทหารเลวนั่นทำร้ายข้าที่ด้านซ้ายด้วยอาวุธของมัน รอยแผลเป็นยังอยู่กับฉันเลย”

“ข้าอยากจะขอดูได้ไหม” Candide ถาม

“เจ้าจะได้ดู ฟังเรื่องต่อเถอะ” Cunegonde ตอบ

“ต่อเลย” Candide ตอบ

หัวหน้าทหารของบัลแกเรียเข้ามาและเห็นเลือดที่ไหลออกมาตัวข้า และเหล่าทหารที่ไม่สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารู้สึกไม่พอใจกับการกระทำของเจ้าทหารเลวนั่นจึงใช้ดาบฟันเจ้าเลวนั่นจนตาย เขาได้รักษาบาดแผลข้าแล้วให้ข้าเป็นเชลยสงครามของเขา ข้าซักเสื้อผ้าของเขา ทำอาหารให้เขา เขาคิดว่าข้าสวยมากและเขาก็ยอมรับมัน ในทางกลับกันข้ามองว่าเขานั้นมีรูปร่างดีผิวขาว แต่เขาแทบจะไม่มีหรือไม่มีความรู้เกี่ยวกับปรัชญาเลยและเจ้าอาจจะเห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ Pangloss

สามเดือนจากนั้นเงินของเขาก็หมดลงประกอบกับการความท้อแท้ที่จะเอาชนะใจข้า เขาจึงขายข้าให้กับชาวยิวชื่อ Don Issachar ที่ทำการค้าขายระหว่างฮอลล์แลน กับ โปรตุเกส คนผู้นี้หลงใหลในตัวผู้หญิงมาก ชาวยิวคนนี้นั้นสนใจข้าเป็นอย่างมากแต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะใจข้าได้ ข้าต่อต้านเขามากกว่าที่ทำการหัวหน้าทหารบัลแกเรียคนนั้นเสียอีก ผู้หญิงบริสุทธ์อาจแปดเปื้อนด้วยการข่มขืนแต่จิตใจของเธอจะแข็งแกร่งขึ้นจากเหตุกาณ์นั้น เพื่อจะจัดการกับข้าได้ง่ายขึ้นเขาจึงนำข้ามาไว้ที่บ้านแห่งนี้ จนถึงเมื่อครู่ที่นี่นั้นไม่อาจเทียบกับปราสาท Thunder-ten-Tronckh ของพ่อข้า แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด

วันหนึ่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวน Inquisitor ได้เห็นข้าท่ามกลางมวลชน เขาก็จ้องข้าเป็นเวลานานมาก จากนั้นเขาก็ส่งคนมาบอกว่าต้องการคุยกับข้าเป็นการส่วนตัว ข้าจึงไปพบเขาที่ปราสาทของเขาที่ซึ่งข้าได้เล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวข้าและเขาก็เสนอที่จะเป็นตัวแทนที่จะบอกว่าตระกูลของข้านั้นเป็นชาวอิสราเอล ไม่นานก็มีข้อตกลงส่งไปให้ Don Issachar เรื่องการปล่อยข้าเป็นอิสระ แต่ Don Issachar นั้นเป็นนายธนาคารศาล และเป็นผู้มีอำนาจด้านการเงิน เขาจึงไม่สนใจข้อตกลงนี้ หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนเลยขู่เขาด้วยการจับจะเขาไปบูชายันต์ (auto-da-fé โดนแบบที่พวก Candide โดนนั่นแหละ) ซึ่งนั่นทำให้เขาหวาดกลัวมากจนต่อรองว่า เขาจะยกบ้านและตัวข้าให้หัวหน้าเจ้าหน้าทีสืบสวนใช้ร่วมกันกับเขา โดย Don Issachar นั้นจะเป็นเจ้าของในวันจันทร์ พุธ เสาร์ ส่วนวันที่เหลือหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะเป็นเจ้าของ นี่มันก็ผ่านมาแล้ว 6 เดือนหลังจากเกิดข้อตกลงนี้ ทั้งหัวเจ้าหน้าที่และ Don Issachar ไม่อยากทะเลาะกันเรื่องว่าใครจะเป็นเจ้าของวันเสาร์ตอนกลางคืนถึงวันอาทิตย์ (เข้าใจว่าอยากจะแบ่งให้เป็น 3 วันครึ่ง แต่ไม่รู้จะแบ่งยังไง) ในกฏที่ตั้งขึ้นและพวกเขาก็ไม่อยากตั้งกฏใหม่ แต่สำหรับข้านั้นข้าต่อต้านทั้งคู่ แล้วฉันก็มั่นใจว่าที่ข้าทำอย่างนั้นทำให้ข้ายังเป็นที่ต้องการอยู่

เพื่อจะหยุดการเกิดแผ่นดินไหวและข่มขู่ Don Issachar หัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนจึงจัดงานบูชายันต์ (auto-da-fé) เขาให้เกียรติข้าโดยเชิญชั้นเข้าไปร่วมงาน ข้าได้ที่นั่งที่ดีมากมันเป็นที่ที่ทำให้เห็นฝูงชนและการประหารชีวิต ข้าอยู่ตรงนั้นในตอนที่กำลังจะประหารชาวยิวสองคนและกะลาสีเรือที่แต่งงานกับแม่ทูนหัวของตัวเอง แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ทำให้ข้าประหลาดใจ ตื่นกลัว และเป็นปัญหา เมื่อข้ามองไปที่คนที่ใส่ชุด san-benitos และหมวกกระดาษทรงบิชอปนั้น ข้าจำได้ทันทีว่านั่นคือ Pangloss ข้าขยี้ตาเพื่อดูอีกครั้งอย่างตั้งใจ ข้าเห็นเขาถูกแขวน แล้วก็ข้าก็เป็นลมไปแต่ไม่นานข้าก็ได้สติ และเห็นเจ้ากำลังถูกจับให้เปลือยเปล่า และนั่นทำให้ข้ากลัวและสิ้นหวังอย่างสุดขีด ข้าขอบอกตามตรงว่า ผิวของเจ้านั่นขาวกว่าหัวหน้าทหารบัลแกเรียคนนั้น ด้วยเหตุการณ์มันยิ่งเพิ่มกลัวของข้าเป็นอย่างมากมันกำลังกลืนกินข้าข้ารับมันไม่ไหว ข้ากรีดร้องออกมาว่า “หยุดการกระทำอันป่าเถื่อนนั้น “ แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ เจ้ากำลังโดนเฆี่ยน มันจะเป็นไปได้เหรอที่คนรู้จักของข้าสองคน Candide ชายที่ข้ารัก กับ อาจารย์ Pangloss จะมาอยู่ที่ Lisbon นี่ คนนึงกำลังโดนเฆี่ยนตี อีกคนกำลังโดนแขวน โดยคำสั่งของหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวน อาจารย์นั้น Pangloss หลอกลวงข้าที่บอกว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด

ผิดหวัง สูญเสีย บางสิ่งที่เคียงข้าง และ บางสิ่งกำลังจะตายด้วยความอ่อนแอ จิตใจของข้าเต็มไปด้วย ภาพที่พ่อแม่และพี่ชายโดนสังหารหมู่และภาพตัวข้าที่ถูกแทงโดยเจ้าทหารบัลแกเรียชั่วนั่น ความรู้สึกที่ข้าจำยอมหัวหน้าทหารบัลแกเรีย ความน่าเกลียดของ Don Issachar ความน่าสะอิดสะเอียนของเจ้าหน้าที่สืบสวน ภาพของอาจารย์ Pangloss ถูกประหาร ภาพที่เจ้าถูกเฆี่ยนตี และ ภาพที่ข้าได้ให้เจ้าจูบที่มือในครั้งสุดท้ายที่เราได้พบกัน ข้าอ้อนวอนพระเจ้าให้นำเจ้ากลับมาหาข้า ข้าพยายามหลายอย่าง ข้าได้ส่งหญิงชราไปดูแลเจ้าและรีบพาเข้ามาที่นี่ให้เร็วที่สุดซึ่งเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก ตอนนี้ข้าได้รับความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเมื่อได้พบและคุยกับเจ้าอีกครั้ง แต่ตอนนี้เจ้าน่าจะหิวแล้วและตัวข้าก็เช่นกัน เรามากินมื้อค่ำกันเถิด

ทั้งคู่นั่งกินมื้อค่ำด้วยกันที่โต๊ะอาหารและเมื่อกินอาหารหมดทั้งคู่ก็นั่งลงที่โซฟา ในขณะเดียวกันกับที่ Don Issachar มาถึงเพราะวันนี้เป็นวันสะบาโตของเขาและเขามาเพื่อจะใช้สิทธิ์ของเขาและบอกรักกับหญิงที่เขารัก

คุยกันหลังแปล

ตอนนี้งงมากคือ Pangloss บอกว่าถูกฟันจนเครื่องในไหลออกมา belle open คือผมแปลว่า “ดาบฟันจนท้องเปิดอะ” แต่นี่แม่งไม่ตาย แล้วมีบอกว่าถูกตัดด้านซ้ายแล้วเป็นแผล อันนี้งงว่า left side คืออะไร แก้มเหรอ ไม่น่าใช่ ถ้าแก้ม Candide มันจะขอดูแผลทำไม งงจัดๆว่าโดนฟันตรงไหน ส่วนเรื่องการแบ่งวันก็งงเหมือนกัน ตอนแรกมันบอกว่า Don Issachar จะได้ วันจันทร์ พุธ เสาร์ ส่วนหัวหน้าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะได้วันที่เหลือ แล้วตอนหลังว่าจะแบ่งใหม่แต่แต่มีปัญหาเรื่องช่วงคืนวันเสาร์ถึงอาทิตย์ คืองงว่ามันแบ่งยังไง 7 / 2 = 3.5 แต่ คืนเสาร์ถึงอาทิตย์มันคือ 1.5 แปลว่า 7 - 1.5 = 5.5 แสดงว่ามันแบ่งไม่ครึ่งตั้งแต่แรกรึเปล่า

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

Candide ตอนที่ 7

ตอนที่ 7 : หญิงชราดูแล Candide อย่างไร และ Candide เขาได้เจอสิ่งที่เขารักได้อย่างไร

Candide ไม่ได้มีความกล้าหาญ แต่เขาก็ตามหญิงแก่ไปกระท่อมเก่าๆที่ใกล้พัง ที่ที่เธอใช้น้ำมันทารักษาแผลของบนร่างกายของเขา และพาเขาไปพักไปที่เตียง พร้อมทั้งให้เสื้อผ้า และ อาหารแก่เขา

“กินอาหารนั่นให้หมดซะ จากนั้นก็จงพักผ่อน” หญิงชราเอ่ย “ขอให้ท่านหญิงแห่ง Atocha นักบุญ Anthony และ นักบุญ James แห่ง Compostella มาปกป้องท่าน ข้าจะกลับมาในวันพรุ่งนี้”

Candide ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาถูกทรมานแต่อยู่ๆก็มีหญิงชรามาช่วยเหลือเขา ในตอนนั้นเขาจึงอยากจะจูบมือหญิงชรา (ในมุมนี้เข้าใจว่าอยากจูบมือเพื่อขอบคุณ)

“ไม่ใช่มือของข้าหรอกที่เจ้าควรจะจูบ” หญิงชราเอ่ย “ข้าจะกลับมาพรุ่งนี้ เอายานั่นทารักษาแผลที่ตัว กินอาหารแล้วพักผ่อนซะ”

Candide ที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมากมาย ก็ได้กินและนอนหลับไป เช้าวันต่อมาหญิงชราก็กลับมาพร้อมอาหารเช้า จากนั้นก็ดูแผลที่หลังของ Candide จากนั้นก็เอายามาให้เขา ตอนเย็นหญิงชราก็กลับมาพร้อมอาหารค่ำ วันต่อๆมาหญิงชราก็ทำแบบเดิมเหมือนกับเป็นพิธการอะไรบางอย่าง

“คุณคือใคร ใครเป็นคนทำให้คุณมีความจิตใจดีงามขนาดนี้ แล้วคุณจะได้รับอะไรจากการช่วยผมไว้” Candide เอ่ยปากถาม

หญิงชราไม่ตอบ เธอกลับมาอีกครั้งในตอนเย็น แต่รอบนี้เธอไม่ได้เอาอาหารมาด้วย

“ตามข้ามา แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” หญิงชราเอ่ยขึ้น เธอดึงแขน Candide แล้วพาเดินไปอีกประมาณ 1 / 4 ไมล์เข้าสู่ทุ่ง ในที่สุดพวกเขามาถึงบ้านที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว รอบๆบ้านถูกรายล้อมไปด้วยสวนและคลอง หญิงชราเคาะที่ประตูไม่นานประตูก็เปิดออก เธอเดินนำ Candide เข้าไปด้านในขึ้นบันไดไปสู่ห้องเล็กๆที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เธอให้เขาบนโซฟา จากนั้นออกจากห้องไป

Candide คิดว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในฝัน และในฝันที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นมีแต่เรื่องไม่ดี แต่ในตอนนี้ถือว่าเป็นส่วนที่ยอมรับได้ว่าดี

ไม่นานหญิงชราก็กลับมาพร้อมกับหญิงสาวท่าทางสง่าผ่าเผยสวมเครื่องประดับแลใส่ผ้าคลุมหน้าไว้

“เปิดที่คลุมหน้าออก” หญิงชราบอกกับ Candide

ชายหนุ่มเดินไปด้านหน้าหญิงสาวพร้อมเอามือดึงผ้าคลุมหน้าออก ในเวลานั้นเป็นเวลาที่เขาประหลาดใจมาก ตรงหน้าของเขาคือ Cunegonde เขาได้พบเธอ นั่นใช่เธอจริงๆเหรอ ร่างกายของเขาหมดแรงขึ้นมาทันที เขาสามารถพูดคำใดๆออกมาได้ เขาล้มลงไปที่เท้าเธอ ส่วน Cunegonde ก็ล้มลงไปที่โซฟา หญิงชราไปเอายาดมมา ไม่นานพวกเขาก็ฟื้นขึ้นมา ทุกคำถาม ทุกคำตอบ ถูกขัดขวางด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกมา ทั้งน้ำตา และ การ้องไห้ หญิงชราตัดสินใจให้สองคนได้ใช้เวลาร่วมกันจึงเดินออกจากห้องไป

“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้ายังมีชีวิต ทำไมถึงมาเจอเจ้าที่โปรตุเกสได้ ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย อาจารย์ Pangloss บอกว่าเจ้าถูกฟันจนท้องเปิดเห็นเครื่องใน” Candide ถาม

“ใช่ พวกเขาทำ แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้รุนแรงถึงตาย” Cunegonde ตอบ

“พ่อกับแม่ของเจ้าถูกฆ่าตายแล้ว” Candide ถามต่อ

“ใช่” Cunegonde ตอบพร้อมน้ำตา

“พี่ชายของเจ้าล่ะ” Candide ถามต่อ

“พี่ชายของข้าก็ตายแล้วเช่นกัน” Cunegonde

“แล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่โปรตุเกสได้ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่ และเหตุการณ์แปลกๆที่พาข้ามาที่บ้านหลังนี้คืออะไร”

“ข้าจะเล่าให้ฟังทั้งหมด แต่หลังจากที่ท่านเล่าว่าตั้งแต่ท่านจูบมือข้าและถูกขับไล่ออกไปนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง” Cunegonde ตอบ

Candide เชื่อฟังเธอ แม้ว่าเขาจะยังประหลาดใจที่ได้เจอเธอ แม้เขาจะไม่มีเสียงแล้ว แม้เขาจะยังเจ็บหลังอยู่ แต่เขาก็เล่าเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพบเจอหลังจากที่เขาแยกจากกับเธอ Cunegonde เงยหน้ามองไปที่สวรรค์ เธอร้องไห้เมื่อได้ยินเรื่องที่ James ชายที่แสนดี และ อาจารย์ Pangloss นั้นต้องตาย หลังจากฟังเสร็จ Cunegonde ก็ได้เริ่มเล่าเรื่องราวของเธอให้ Candide ฟัง

คุยกันหลังแปล

ตอนที่ 7 ที่ได้แปลรู้สึกเลยว่าพวกคำบรรยาย คำพรรณา นี่แบบจะใส่มาทำไมวะ แม่งโคตรยุ่งยากในการแปลเลย แต่พอมานึกถึงนิยายไทยที่เคยอ่านก็แบบ เออ ใช้คำบรรยาย คำพรรณา เหมือนกัน แล้วพอมีคำพวกนี้มันเลยดูมีอะไรมากกว่าการเล่าแบบธรรมดา สำหรับตอนนี้เฮ้ย มันได้เจอคนรักมันแล้วว่ะ ตอนนี้เหมือนเริ่มปูทางไปตามทฤษฎีของ Pangloss ทฤษฎีที่บอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาเกิดมาเพื่อปูทางไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

Candide ตอนที่ 6

ตอนที่ 6 : โปรตุเกสจัดการบูชายันต์อย่างไรเพื่อป้องกันการเกิดแผ่นดินไหวในอนาคต และ Candide ถูกโบยต่อหน้าสาธารณะชนได้อย่างไร

หลังจากแผ่นดินไหวทำลาย 3 ใน 4 ส่วนของ Lisbon ผู้มีอำนาจของประเทศคิดว่าไม่มีวิธีใดที่จะป้องกันการเกิดแผ่นดินไหวจนทำให้ทั้งเมืองให้กลายเป็นซากได้นอกจากการทำการบูชายันต์ Auto-da-fé ซึ่งผู้ตัดสินใจวิธีนี้คือมหาวิทยาลัย Coimbra โดยพิธีการ Auto-da-fé นั้นคือการเอาคนจำนวนหนึ่งที่มีชีวิตไปเผาด้วยไฟอย่างช้าๆ และในระหว่างนั้นทุกคนจะเฉลิมฉลองไปด้วย ซึ่งนี่เป็นความลับที่จะทำให้โลกรอดพ้นจากแผ่นดินไหว

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกจับ กะลาสีเรือถูกเลือกเพราะการแต่งงานกับแม่ทูนหัวของตัวเอง และ ชาวโปรตุเกส 2 (Candide กับ Pangloss ) คนที่ปฏิเสธที่จะกินเบคอนแต่ใช้น้ำมันหมูในการทอดไก่ที่เขากิน (ตรงนี้อธิบายไว้ว่า คนที่ปฏิเสธการกินเบคอนคือชาวยิวซึ่งคนยิวจะถูกเลือกไปบูชายันต์ แต่สองคนนั้นไม่กินเบคอนคือไม่กินหมู แต่เขาใช้น้ำมันหมูทอดไก่ก็ประมาณว่าเขากินหมูแต่ก็โดนจับอยู่ดี)

หลังจากอาหารค่ำ ทหารจับตัว Pangloss และลูกศิษย์ของเขา Candide ไปขังโดย จับขังแยกไว้คนละห้อง ซึ่งเป็นห้องขังที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันและหนาวมาก
ในที่นั้นคนหนึ่งพูดความในใจของตัวเอง คนอื่นๆได้แต่รับฟังด้วยความพอใจ

8 วันหลังจากนั้นพวกเขาถูกจับให้ใส่ชุด san-benitosหัวของพวกเขาถูกครอบด้วยกระดาษที่ทำเป็นหมวกที่มีลักษณะคล้ายหมวกของบิชอป ชุดและหมวกที่ Candide ใส่อยู่นั้นมีรูปวาดเป็นเปลวเพลิงกลับหัวและปิศาจที่ไม่มีหางและกรงเล็บ ส่วนชุดที่ Pangloss ใส่นั้นเป็นเปลวเพลิงแบบปกติแต่ปิศาจมีทั้งหางและกรงเล็บ พวกเขาถูกคุมตัวให้เดินไปในขบวน พวกเขาได้ยินเสียงเทศน์ที่น่าสมเพชตามมาด้วยเสียงดนตรีจากโบสถ์ Candide ถูกเฆี่ยนด้วยแส้ในขณะที่ชาวบ้านกำลังร้องเพลง

กะลาสีเรือและชายสองคนที่ไม่กินหมูกำลังจะถูกเผา Pangloss ถูกจับแขวนด้วยแม้ในประเพณีจะไม่มีการทำแบบนี้ นี่เป็นอีกวันที่โลกกระทบกระเทือนแรงที่สุดอีกครั้ง

Candide หวาดกลัว สิ้นหวัง เลือดไหลไปทั่วร่าง ใจของเขาสั่น เขาพูดกับตัวเองว่า “ถ้านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นได้จริงๆแล้ว ทำไมมันเกิดสิ่งนี้กับพวกเขา ถ้ามันเป็นการถูกเฆี่ยนข้าทนมันได้เพราะข้าเคยโดนมาแล้วจากพวกบัลแกเรีย แต่ อาจารย์ Pangloss นักปรัชญาที่ดีที่สุดถูกแขวนเพื่อเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่รู้ James คนที่ดีที่สุดบนโลกนี้ เขาจมน้ำตายในอ่าวนั่น Cunegonde หญิงที่งดงามที่สุดถูกฟันจนร่างกายจนเปิดให้เห็นอวัยวะและตาย”

ดังนั้นแล้วเขาจึงครุ่นคิด ไม่มีแรงที่จะยืน เสียงเทศน์ที่นั่น การถูกเฆี่ยน รำคาญทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งมีหญิงแก่เดินมาหาแล้วบอกว่า

“เด็กน้อย จงกล้าและตามข้ามา”

คุยกันหลังแปล

ตอนนี้งงตอนแปลตอนท้ายๆมากว่า ตัว Candide มันเป็นอะไรก่อนหญิงแก่มาทักเรียกมัน แต่ตอนนี้ได้ความรู้ใหม่เรื่อง คน ยิว ไม่กินหมู อันนี้แบบเฮ้ยจริงดิ ไม่กินหมูจริงดิ แต่ความพีคคือ เฮ้ย จับคนไปเผาบูชายันต์เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติ เอาจริงดิ แถบตะวันตกก็มีกับเขาด้วย เป็นอะไรที่ได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

Candide ตอนที่ 5

ตอนที่ 5 : พายุ เรืออัปปาง แผ่นดินไหว และอะไรเกิดขึ้นกับ อาจารย์ Pangloss Candide และ James

ครึ่งหนึ่งของคนที่ตายไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเรือกำลังจะพลิกคว่ำ ครึ่งหนึ่งของผู้โดยสารไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิด อีกครึ่งรู้สึกกลัวและส่งเสียงอ้อนวอน เหล็กของเรือแตกทำให้เกิดรู เสากระโดงเรือพัง และทำให้เรือมีรอยรั่ว กะลาสีบนเรือไม่มีใครทำอะไรได้เลย ไม่มีใครได้ยินอะไร ไม่มีใครสั่งว่าให้ทำอะไร ในขณะนั้น James อยู่บนดาดฟ้าเรือ เขาถูกกระแทกโดยกะลาสีเรือจนกลิ้งบนพื้น แต่ซึ่งด้วยเหตุนั้นทำให้กะลาสีเรือไปติดอยู่ตรงบริเวณเสากระโดงเรือที่แตกหัก James ผู้ซึ่งมีจิตใจดีงามได้วิ่งเข้าไปช่วยกะลาสีเรือคนนั้นให้ขึ้นมาได้แต่ก็ทำให้ตัว James ตกลงไปในทะเลแทน Candide ที่ยืนอยู่ได้เห็นภาพชายผู้ช่วยชีวิตเขาอยู่เหนือน้ำและจมหายไปในทะเลตลอดกาล Candide พยายามกระโดดลงไปช่วย แต่ก็ถูกอาจารย์ Pangloss มาห้ามไว้พร้อมกับบอกด้วยว่า อ่าว Lisbon นั้นถูกสร้างมาให้เพื่อให้ James นั้นจมน้ำตาย ระหว่างที่ทั้งสองกำลังถกเถียงเกี่ยวกับคำพูดของ Pangloss อยู่นั้นเรือก็ได้จมลงพร้อมกับผู้เคราะห์ร้ายทุกคนยกเว้น Candide Pangloss และกะลาสีเรือที่ทำให้ James นั้นจมน้ำหายไป กะลาสีเรือได้ว่ายเข้าไปที่ฝั่ง ส่วน Candide กับ Pangloss เกาะเศษไม้ลอยขึ้นฝั่ง

หลังจากที่พวกเขาพักจนตัวเองรู้สึกดีขึ้นแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าเดินทางไปที่ Lisbon พวกเขาเหลือเงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อจะใช้ซื้ออาหารให้รอดตายจากที่รอดมาแล้วจากการจมน้ำ พวกเขามุ่งหน้าไปที่เมืองซึ่งในระหว่างทางพวกเขาก็คร่ำครวญเสียใจถึงการจากไปของ James

ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวที่ใต้เท้า ทะเลเกิดคลื่นขนาดใหญ่แล้วพัดมาใส่เรือที่อยู่ที่ฝั่งจนถูกทำลายไปหมด ลมร้อนและฝุ่นปกคลุมไปทั่วถนนและทุกที่ไม่ว่าจะเป็นหลังคาบ้าน ทางเท้า คนประมาณ 3 หมื่นคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ผู้ชายผู้หญิงตายในซากเมืองนี้ กะลาสีเรือผิวปากพร้อมสบถออกมาว่า “มีของให้ปล้นได้มากมายที่นี่”

“จะมีเหตุผลใดที่เหมาะสมกับเรื่องนี้บ้าง” Pangloss เอ่ยขึ้น

“นี่คงจะเป็นวันสุดท้าย” Candile เอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตา

กะลาสีเรือวิ่งไปที่ซากปรักหักพังค้นศพที่อยู่ที่นั่นแล้วเอาเงินออกมา พังเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งจากนั้นก็ไปหยิบเครื่องดื่มและอาหารชั้นดีที่เขาสามารถเจอได้ในซากปรักหังพังมากิน Pangloss ได้ดึงแขนเสื้อของกะลาสีไว้พร้อมกล่าว่า “สหาน นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ท่านกำลังทำบาป สิ่งที่ท่านทำมันผิดจากหลักของศาสนา”

“อย่ามาบ้าหน่อยเลย” กะลาสีตอบกลับ “ข้าคือกะลาสีเรือ ข้าเกิดที่ Batavia 4 ครั้งที่ข้าไปญี่ปุ่นแล้วต้องเหยียบย่ำไม้กางเขน มันไม่เหลือแล้วแหละ”

หินบางก้อนหล่นมาโดน Candide บาดเจ็บ เขานอนอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง

“อนิจจา หยิบไวน์กับน้ำมันมาให้ข้าที ข้ากำลังจะตาย” Candide บอก Pangloss

“การเกิดการกระทบกระแทกของโลกนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่” Pangloss กล่าว “เมื่อปีที่แล้วก็เกิดเหตุการแบบนี้ที่ Lima ในอเมริกา ต้นเหตุเดียวกัน ผลลัพธ์เดียวกัน คงมีท่อที่เชื่อมกำมะถันระหว่างเมือง Lima กับ Lisbon เป็นแน่”

“มันคงจะไม่เกิดขึ้นอีก” Candide เอ่ยขึ้น “แต่มันเกิดขึ้นจากความรักของพระเจ้าเพื่อที่จะมอบไวน์และน้ำมันเหล่านี้เหรอ”

“ก็อาจจะเป็นไปได้” Pangloss ตอบ “ข้าคิดว่ามันเป็นเหตุเป็นผลที่ยกตัวอย่างได้”

จากนั้น Candide ก็สลบไป Pangloss ทำให้เขาได้สติอีกครั้งด้วยน้ำจากบ่อมาใกล้ๆ วันต่อๆมาพวกเขาคุ้ยซากปรักหักพังจนพบอาหาร พวกเขาใช้มันเพื่อทำให้ตัวเองกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาได้เข้าเจอกับผู้ที่อาศัยในเมืองที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนในกลุ่มผู้รอดชีวิตได้เลี้ยงอาหารเย็นพวกเขา ด้วยอาหารที่ดีที่สุดที่พวกเขาพอจะทำให้ได้ Pangloss ช่วยเยี่ยวยาจิตใจพวกเขาด้วยการให้เหตุผลนี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อจะเกิดสิ่งที่ดีที่สุด

“สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดขึ้นเพื่อจะทำให้เกิดสิ่งที่ดีที่สุด การเกิดภูเขาระเบิดที่ Lisbon ไม่มีทางเป็นอื่นได้ มันเกิดขึ้นนั้นถูกต้องแล้ว” Pangloss กล่าว

เด็กหนุ่มในชุดดำได้เกิดข้อสงสัยและได้ถามขึ้นมาอย่างสุภาพว่า “เห็นได้ชัดว่า ท่านไม่ได้เชื่อเรื่องบาปสินะ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แสดงว่ามันจะต้องไม่มีบาปหรือการลงโทษใดๆ”

“คำถามของท่านช่างดีเหลือเกิน ข้าขอตอบท่านดังนี้” Pangloss ตอบ “บาปและการลงโทษต่างๆนั้นจำเป็นเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีสุด”

“ท่านไม่เชื่อเรื่อง เจตจำนงเสรีหรือ” เด็กหนุ่มถามขึ้น

“เป็นสิ่งที่ดีมากที่ท่านถามข้า” Pangloss ตอบ “เจตจำนงเสรีนั้นเป็นสิ่งจำเป็น พวกเรานั้นเป็นอิสระที่จะตัดสินใจในระยะสั้น แต่สุดท้ายผู้กำหนดจะ ….”

Pangloss พูดถึงกลางประโยคในขณะที่เด็กหนุ่มได้เรียกคนรับใช้ของเขามารินไวน์ให้

คุยกันหลังแปล

ตอนนี้กำหมัดกว่าตอนที่แล้วแบบ ไอเ-ี้ย Plangloss จริงๆครับ คือแบบถ้าไม่ช่วยโดยว่าไม่ทันยังจะดีกว่ามาพูดแบบนี้ แต่พอเกิดเหตุการณ์ในเมือง Pangloss แม่งก็เป็นคนยึดมั่นในหลักการดี คือตัวละครแม่งมีมิติจริงๆ แล้วก็ตอนที่แล้วผมเข้าใจผิดว่าโรคติดต่อมันติดต่อแบบแค่สัมผัสผมเข้าใจว่าเป็นวัณโรค แต่จริงๆมันเป็นโรคซิเฟลิสครับ ซึ่งจากการอ่านใหม่แล้ว ตัวละครที่ติดกันเหมือนชายติดหญิงส่งต่อกันมา โอ้…. ตรงในอ้อมกอดแล้วรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ก็งงว่า แค่กอดมันขนาดนั้นเลยเหรอวะ คนยุคนั้นนี่สุดยอดจริงๆ แต่พอมาอ่าน อ้างอิงข้างล่าง อ่อ…… ตอนนี้ผมชอบตอนเด็กถามเรื่อง บาป เจตจำนงเสรี เฮ้ย นี่ดิ การคุยกันของนักปราชญ์ต้องแบบนี้ มันต้องขัดแย้ง หาข้อสรุป แต่ Pangloss ก็เหมารวมทุกอย่างว่ามันเป็นหนึ่งในเหตุเพื่อให้เกิดผลแบบ โอ้ กำหมัดเลยนะ ตอนเด็กหนุ่มถามว่า (ผมเข้าใจว่า Little man แปลว่าเด็กหนุ่ม) ท่านไม่เชื่อเรื่องการลงโทษเหรอ เฮ้ย นี่โคตรขัดแย้งแล้วนะ พอมาต่อด้วย เจตจำนงเสรียิ่งโคตรไปใหญ่ แบบเฮ้ยนี่แหละมีคนคิดเหมือนเราด้วยว่ะ เรื่องพรหมลิขิตกำหนดไว้แล้วผมชอบเถียงด้วยเจตจำนงเสรีนี่แหละ(ห่างกันตั้งหลายร้อยปี) แล้วก็ชั้นเชิงในการเขียนแบบ อยู่ดีๆตัดประโยคทิ้งประมาณบอกคร่าวๆเลยว่ามันจะพูดว่าอะไร เชี่ยอย่างเด็ด พึ่งเคยครั้งแรกเลย จริงๆผมอยากให้พวกหนังสือนอกเวลาที่แนะนำให้เด็กอ่านควรมีอะไรพวกนี้นะ ควรจะทำให้เด็กเกิดคำถาม เกิดความขัดแย้งกับสิ่งที่เชื่อ เขาจะได้มีความสงสัยใคร่รู้มากกว่าที่ปูทางให้เขาเชื่อตามสิ่งที่สังคมกำหนด

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

ถึงน้องไอดอลที่ไม่ได้เป็นไอดอลแล้ว

แปลกดีเหมือนกัน

ตอนเขียนเรื่องนี้ตอนแรกว่าจะไม่เขียนเพราะได้ระบายเรื่องนี้กับพี่ที่รู้จักคนนึงแล้ว แต่จริงๆก็พึ่งมารู้ไม่นานมานี้ตัวเองเป็นคิดวนไปวนมา เป็นคนที่สามารถคิดเรื่องเดิมๆหรือเรื่องอะไรที่มันติดในใจได้เป็นเดือน วิธีเดียวที่จะจัดการกับมันได้คือระบายกับใครสักคน หรือเขียนมันออกมาเป็นตัวอักษร ( คงเป็นโรคชนิดนึงผมเคยเห็นในเรื่อง CSI ) ก็เลยตัดสินใจเขียนมันขึ้นมา สำหรับคนที่หลงเข้ามานะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของผมเอง ไม่มีใครผิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าจะมีผิดก็มีแต่ผมที่สภาพจิตใจไม่คงที่

ความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึก

เรื่องมันเริ่มจากการนั่งดู live น้องไอดอลคนนึงในวงที่ติดตามที่มาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเป็นไอดอลครั้งสุดท้ายก่อนที่เลิกเป็นไอดอลแล้ว ซึ่งเราก็เคยคุยกับน้องแค่ 2 นาทีตอนงานวันสุดท้าย จริงๆก็เคยเห็นน้องเขาในวงแต่ไม่เคยไปถ่ายรูปด้วยสักครั้งเลย ซึ่งไอที่คุยวันสุดท้ายอะก็ประทับใจเกี่ยวกับน้องเขานะ แบบได้รู้ว่าเออน้องเขาก็ไม่ได้ทำแค่ตำแหน่งนั้นนะ แต่งเพลงได้ เล่นโน่นนี่นั่นได้ แถมคุยกันเป็นกันเอง พอน้องเขาเริ่มเล่าเรื่องการเป็นไอดอลไปเรื่อยๆมีบางช่วงบางตอนที่น้องบอกว่าเขารู้สึกไม่ดีในการเป็นไอดอล ไม่ว่าจะรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองพยายามแล้วแต่ผลที่ได้รับนั้นไม่ดีเท่าไหร่เลยเลยพาให้น้องเขารู้สึกไม่ดี และอีกหลายๆเรื่องไม่ว่าการแสดงที่เขาแสดงเป็นวงนะ แต่ทำไมเวลาชมก็ชมบางคน หลงลืมคนอื่นในวง น้องเขาไม่ได้พูดแบบนี้หรอก แต่ผมเข้าใจว่ามันคือแบบนั้น “เออ เหี้ย แม่ง” พีคมาก ผมลืมจุดจุดนี้ไปเลย ผมลืมจริงๆ ผมไม่เคยนึกถึง คือ ผมพึ่งเคยตามไอดอล ถ้านับวงนี้คือวงที่สอง ผมไม่รู้อะไรเลย มันแค่บังเอิญไปเดินงานกับเพื่อนแล้วเจอไอดอลแสดง ก็เลย เอออยากคุยกับเขาอยากรู้จักกับเขาก็เลยเริ่มที่ตรงนั้น แล้วก็มาคุยกับเพื่อนว่าเออวงการนี้มันยังไง เพื่อนก็บอกว่าอยากคุยกับใครก็จ่ายเงินไปคุยกับคนนั้น ก็เลยแบบเออชอบใครก็คุยกับคนนั้น ประกอบกับเราก็ไม่มีเงินเยอะ จริงๆมันก็ข้ออ้างแหละ คือถ้าจะจ่ายก็จ่ายได้แหละ แต่ไม่รู้ทำไมพอจะจ่ายมันจะต้องมีเสียงจากสมองออกมาว่า “มึงจะเสียเงินเยอะไม่ได้นะ” ต้องเก็บเงินเผื่อโน่นนี่นั่น ซึ่งจริงๆแม่งมีเก็บเยอะอยู่ระดับนึง คงเป็นนิสัยที่ถูกสอนมาว่าหัดอดออม รอน้ำลายไหลค่อยจ่าย (แม่งยังพอจำเนื้อเรื่องได้อยู่เลย) จนบางครั้งไอ้คติเนี่ยมันทำให้รู้สึกเสียใจในหลายๆรอบซึ่งครั้งนี้ก็ทำให้ผมเสียใจเหมือนกัน พอมามองมุมนี้แล้วแบบ เออ…. มันรู้สึกแย่ว่ะ เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับทุกคนในวงจริงๆ แล้วพอเริ่มคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด เราลองคิดว่าเป็นเราดิ คือเราเป็นคนเขียน Code นะ เขียนโปรแกรมหลายโปรแกรมให้หลายคนใช้ แต่คนใช้ไม่เคยแม้แต่จะขอบคุณโปรแกรมเราเลย ไม่เคยรู้ชื่อเราเลยด้วยซ้ำ พอมาคิดมันก็น้อยใจนะ แต่เราก็ยึดว่าเราทำงาน Backend แล้วเราก็ไม่ชอบเจอมนุษย์ก็เลยเออช่างแม่งไม่รู้สึกอะไร แต่กับน้อง น้องเขาเป็นนักดนตรี ทำงานเบื้องหน้า แต่เราไม่ได้ให้ความสำคัญเขาในแบบที่เราควรจะทำ แล้วน้องเขาเล่าว่าเขารู้สึกแย่แค่ไหน แม่งยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดไปอีก คือจริงๆถ้ามันไม่คิดก็ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่พอคิดมันก็คิดยาวๆ เชี่ยแม่ง Fail Fail แบบรู้สึกผิด แบบเป็นความรู้สึกใหม่จริงๆ ไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อน คือปกติเวลามีเรื่องพวกนี้ผมแม่งจะบอกว่า “โถ คนเรามันพูดอะไรก็ได้เว้ย” เพราะผมเคยเจออะไรแบบนี้ตอนทำงานแม่งเลยสะสมแล้วสร้างเป็นโล่ป้องกันตัวเองแบบนี้ขึ้นมา แต่พอได้คุยกับน้องเขาถึงจะ 2 นาทีก็เถอะ แต่แม่งคือ 2 นาทีแบบคนที่แสดงความรู้สึกจริงๆอะ แล้วเรารู้ได้ว่าเขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ พอมาดู Live แล้วน้องพูดก็แบบมันไม่ได้ปรุงแต่ง แล้วคือรู้เลยว่าน้องเขาคง Fail ในช่วงระยะเวลานึงเลยแหละ พอคิดแล้วก็ภาพในงานวันแรกที่เจอวงนั้นได้ย้อนกลับมาคือ แม่งจะซื้อบัตรกี่ใบดี เอออยากถ่ายสักสองคนแต่สุดท้ายซื้อมา 3 ใบ เชี่ยแค่นี้มึงก็แย่แล้วป่ะ ทำไม ทำไมมึงไม่ซื้อ 6 ใบวะ ถึงมึงไม่ซื้อมึงก็ไปไปคุยกับเขาทุกคนได้รึเปล่าวะ เชี่ยที่มึงชอบวงนี้เพราะเขาเล่นดนตรีดี ไปดูไปฟังแล้วสนุก แต่มึงไม่ได้เคยชมเขาเลยจนงานวันสุดท้าย คือแบบ “เชี่ย เชี่ย เชี่ย” มันคือความรู้ผิดจริงๆ

แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วแหละ มันผ่านไปแล้ว ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง มันคงเป็นบทเรียนล่ะมั้ง มันเป็นมุมมองมุมใหม่ที่ผมไม่รู้ และตอนนี้ผมได้รู้แล้ว แต่มันจะเป็นไงต่อ ตอนนี้ผมก็ยังคิดๆอยู่เลยว่าเราจะแสดงความรู้สึกแบบนี้ให้กับวงดนตรีที่เราไปฟังหรือการแสดงที่เราไปดูได้ยังไง ถ้าเป็นสมัยไปดูละครเวทีที่จุฬา ผมจะเขียนยาวๆใน Comment ทุกครั้งบอกว่าชอบส่วนไหน ไม่ชอบส่วนไหน หลังจบการแสดง แต่อันนี้คือวงดนตรี ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีบัตรแสดงความคิดเห็นไหม จะไปพูดไปคุยเราก็เป็นพวกไม่คุยกับใครก่อนอยู่แล้วด้วย พอมายิ่งคิดยิ่งสับสน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยังไง จะเลิกตามไอดอลเลยไหมเพราะไหนๆวงที่ตามก็หมดแล้ว พอไม่ไปสัมผัสอะไรแบบนี้ก็จะได้ไม่ต้องคิดอะไรแบบนี้อีก แต่มันก็เป็นวิธีที่ไม่ถูกอะนะ ไม่รู้สิความรู้สึกตอนนี้มันสับสนวุ่นวายไปหมด

แต่อย่างน้อยก็ได้เขียนถึงตรงนี้อะนะ ถ้าโชคดี น้องคนที่ผมพูดถึงคงได้มาอ่าน ก็อยากบอกน้องเขาว่า “น้องเล่นดนตรีได้ดีจริงๆนะ เพลงที่น้องแต่งก็เพราะ ถึงพี่จะไม่มีเซนต์ด้านดนตรีแต่ฟังแล้วมันเพราะจริงๆ พี่ขอโทษที่ผ่านๆมาไม่เคยไปพูดคุย ชม อะไรเลย คงได้ชมแค่ครั้งเดียวก็ตอนงานวันสุดท้ายครั้งนั้น ก็ขอให้น้องประสบความสำเร็จกับเส้นทางที่น้องเลือก เรื่องเรียนก็ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี ได้เกรด A” ก็คงจะเขียนได้เท่านี้แหละ แต่ก็อย่างที่น้องบอกแหละ “คงไม่มีโอกาสที่จะได้เจอกันอีกแล้วอะนะ” เพราะประเทศไทยมันก็หลายล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งนั่นก็จริงแหละ แล้วที่เขียนเนี่ยมันก็เว็บนึงในหลายพันล้านเว็บบนโลก คงไม่มีทางแน่นอนที่น้องเขาจะมาอ่านอะนะ

ก็จบแล้วไม่มีอะไรมาก ก็แค่คนบ้าๆคนนึงเขียนระบายความรู้สึกแปลกๆที่ตัวเองได้เจอเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกที่ไม่เคยเจอนี้ สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอให้คิดว่ามาร่วมแชร์ประสบการณ์กันละกัน

Candide ตอนที่ 4

ตอนที่ 4 : Candide ได้เจอกับอาจารย์ PANGLOSS อีกครั้งได้อย่างไร และอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา

Candide เดินเข้าไปหาขอทานผู้นั้นด้วยความสงสารแทนที่จะเป็นความกลัว เขาได้ให้เงินแก่ขอทานซึ่งเงินนั้นเขาพึ่งได้มาจาก James ขอทานเงยหน้ามอง Candide จากนั้นเขาก็น้ำตาไหลออกมาและโผเข้าไปหา Candide Candide ตกใจและถอยกลับด้วยความรังเกียจ

“อนิจจา” ขอทานเอ่ย “นี่เจ้าจำ Pangloss ไม่ได้แล้วหรือศิษย์รัก”

“อะไรนะ โอ้ ท่านคืออาจารย์ Pangloss ของข้า ทำไมท่านถึงมาอยู่ในสภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำไมท่านถึงไม่อยู่ที่ปราสาท แล้ว Cunegonde ผู้หญิงที่สวยที่สุด เป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าไม่มีแรง ข้ายืนไม่ไหว”

Candide พาพยุงร่างของ Pangloss ไปที่คอกม้าของ James และเอาขนมปังมาให้เขากิน หลังจากที่ Pangloss สภาพดีขึ้น Candide จึงเอ่ยถามว่า

“Cunegonde เป็นอย่างไรบ้าง”

“เธอตายแล้ว” เขาตอบ

Candide สลบไปทันทีเมื่อได้ยิน Pangloss เห็นดังนั้นจึงช่วยคืนสติให้ Candide ด้วยน้ำส้มสายชูเก่าๆที่เขาพบในคอกม้า ไม่นาน Candide ก็ได้สติกลับคืนมา

“Candide ตายแล้ว สิ่งที่ดีที่สุดในโลกได้หายไปแล้ว เธอป่วยด้วยโรคอะไรถึงได้ตาย คงไม่ใช่ว่าเธอเศร้าเพราะพ่อของเธอขับไล่ข้าออกจากปราสาทใช่ไหม”

“ไม่” Pangloss กล่าว “เธอโดนทำร้ายและถูกฟันตายโดยทหารของบัลแกเรีย พ่อของเธอถูกฟาดเข้าที่หัวหลังจากที่พยายามปกป้อง ส่วนแม่ของเธอถูกจนกลายเป็นชิ้นๆ ลูกศิษย์ของข้าก็มีสภาพไม่ต่างกันพี่สาวของเขา และสำหรับปราสาท พวกมันเอาไปหมด ทั้งก้อนหิน ทั้งยุ้งข้าว แกะ เป็ด หรือต้นไม้ พวกมันเอาไปทั้งหมด แต่พวกเราก็ได้ล้างแค้น ชาว Abares ก็ทำสิ่งเดียวกันที่มันทำกับเราแก่บารอนชาวบัลแกเรีย”

เมื่อบทสนาจบลง Candide ก็สลบลงอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามถามหาเหตุผลที่เหมาะสมที่ทำให้ Pangloss ถึงได้ตกต่ำลงมาอยู่ในสภาพที่แย่ถึงเพียงนี้

“อนิจจา มันคือความรัก ความรักที่เป็นความสบายใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ความรักเป็นผู้รักษาจักรวาลให้คงอยู่ จิตวิญญาณทั้งหมดสัมผัสได้ถึงความรัก ความรักที่อ่อนโยน” Pangross เอ่ย

“อนิจจา ข้าเข้าใจความรัก มันคือราชาของหัวใจ มันคือวิญญาณของวิญญาณพวกเรา แต่มันไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่า การที่จูบ และ โดนเตะเข้าที่หลังอีก 20 ครั้ง อะไรที่เป็นผลลัพธ์อันงดงามที่เกิดจากเหตุอันน่าขยะแขยงนี้ ท่านช่วยบอกที” Candide ถามกลับ

“Candide ศิษย์รักของข้า เจ้าจำ Paquette หญิงสาวที่งดงามที่รอภรรยาท่านบอรอนได้ไหม ในอ้อมแขนของเธอนั้นข้าได้รู้สึกอย่างกับอยู่บนสวรรค์ แต่นั่นก็ทำให้ข้ารู้สึกทนทุกข์ทรมาณประหนึ่งนรกกำลังกัดกินข้า เธอติดโรคมาจากพวกเขา บางทีเธออาจจะตายไปแล้ว เธอได้รับของขวัญนี้มาจากการเรียนกับนักบุญ (Grey Friar) ซึ่งติดมาจากหัวหน้าทหารม้า ที่รับใช้ภรรยาของขุนนางซึ่งติดมาจากเด็กรับใช้ของคณะเยซูอิตซึ่งเป็นเด็กรับใช้บนเรือของกัปตัน โคลัมบัส สำหรับข้าแล้วข้าจะส่งต่อสิ่งนี้ให้ใคร ฉันกำลังจะตาย”

Candide ร้องเมื่อได้ฟังสิ่งที่ Pangloss กล่าวพร้อมถามต่อว่า “โอ้ อาจารย์ Pangloss มันเป็นที่ไม่ดีไม่ใช่หรือ”

“มันไม่ใช่เรื่องไม่ดีทั้งหมด” Pangloss ตอบ “มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นส่วนประกอบสำคญของทั้งโลก ถ้าโคลัมบัสไม่ได้ไปที่เกาะที่เป็นโรคในอเมริกานั้น พวกเราก็คงจะไม่มี chocolate หรือ cochineal พวกเราได้รู้ว่าในทวีปของเรานั้นบางที่ก็ยังมีเรื่องขัดแย้งกัน อย่างเช่น เรื่องศาสนา ชาวเติร์ก ชาวอินเดีย ชาวเปอร์เซีย ชาวจีน ชาวสยาม ชาวญี่ปุ่น ไม่รู้เกี่ยวกับมัน แต่มันก็มีเหตุผลที่สมควรว่าในอนาคตนั้นพวกเขาจะรู้ในไม่กี่ศตรววษ ในขณะนี้ มันมีสิ่งมหัศจรรย์กำลังเกิดขึ้นในพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ทหารรับจ้างที่ซื่อสัตย์ผู้จะตัดสินชะตาของรัฐ สำหรับพวกเรานั้นจะปลอดภัยเมื่อทหารจำนวน 3 แสนต่อสู้ด้วยจำนวนเท่ากัน พวกเขามีแค่ 2 แสน ในแต่ละฝั่งที่สู้รบ”

“มันเป็นเรื่องที่วิเศษ” Candide เอ่ยขึ้น “แต่ท่านต้องได้รับการรักษา”

“อนิจจา จะรักษาข้าได้อย่างไร” Pangross กล่าว “ข้าไม่มีเงิน ศิษย์ข้า ไม่มีใครในโลกที่ช่วยทาน ให้เลือด โดยไม่จ่ายเงิน หรือหาคนมาจ่ายเงินให้”

ด้วยคำพูดสุดท้ายนั้นทำให้ Candide ตัดสินใจ เดินไปหา James แล้วเอาหัวแทบเท้าของ James เพื่อขอร้องให้ James พาเขาไปดูสภาพของ Pangross ว่าเป็นอย่างไร ซึ่ง James ก็ไม่ได้รังเกียจที่พาอาจารย์ Pangloss ไปที่บ้านเพื่อทำการรักษาด้วยเงินของเขา ในการรักษานั้นอาจารย์ Pangloss สูญเสียดวงตาหนึ่ง หูอีกหนึ่งข้าง หลังจากนั้นด้วยความที่เขาเป็นคนอ่านออกเขียนได้ และเก่งเรื่องการคำนวณ James จึงให้เขามาเป็นคนช่วยจดเกี่ยวกับบัญชีของเขา หลังจากผ่านไปสองเดือน ระหว่างการเดินทางไป Lisbon เพื่อทำการค้าขายบางอย่าง เขาได้พานักปรัชญาสองคนขึ้นมาบนเรือด้วย จากนั้นก็อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีของเขาที่ว่าทุกอย่างไม่มีทางดีไปกว่านี้ได้แล้ว ซึ่ง James ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้

“มันเหมือนกับว่า” James อธิบายขึ้นมา “มนุษยชาตินั้นมีบางอย่างบิดเบี้ยว พวกเขาไม่ใช่หมาป่า แต่พวกเขากลายเป็นหมาป่า พระเจ้าไม่ได้ประทานกระสุนขนาด 24 ปอนด์ หรือดาบปลายปืน มาเพื่อให้พวกเขาสร้างมันเพื่อใช้ทำลายล้างอีกฝ่าย ในบัญชีนี้ฉันอาจจะไม่ได้ล้มละลาย แต่ศาลจะยึดทุกอย่างจากฉันตอนล้มละลายเนื่องจากฉันโกงเจ้าหนี้”

“ทั้งหมดนี้นั้นจะขาดไม่ได้” อาจารย์ตาเดียว (Pangloss นั่นแหละ) ตอบ “สำหรับความโชคร้ายที่จะนำพาไปเกิดสิ่งที่ดี ไม่แน่ว่ายิ่งโชคร้ายเท่าไหร่ก็จะยิ่งเกิดผลดีเท่านั้น”

ขณะที่เขากำลังอธิบายเหตุผลนั้นท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำ ลมแรงพัดเข้ามา และเรือก็ถูกพายุพัดเข้าใส่ ในระยะมองเห็นของท่าเรือ Lisbon

คุยกับหลังแปล

อ่านตอนนี้แล้วกำหมัดกับ Pangross มากคือ โรคร้ายคือของขวัญ What มันใช้คำว่า present ผมเข้าใจว่ามันคือของขวัญนะ แต่อาจจะแปลผิดก็ได้ แล้วโรคมันติดต่อแบบ ติดกันเป็นทอดๆแล้วมาบอกว่ามันเป็นความสวยงาม ถ้าไม่มีการเดินทางแล้วเกิดโรคนี้จะไม่มีการเจอช็อกโกแลต ไม่เจอสิ่งอื่นต่างๆนาๆ นี่แหละ สุดยอดแห่ง GAT เชื่อมโยงได้ 300 คะแนน (เต็ม 150) จริงๆผมก็แปลมั่วเยอะอยู่นะ คือไม่เข้าบริบทที่ Pangloss มันพูดเลย งงจริง ตอนที่ James ยกตัวอย่างก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ถ้าแปลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วย เมลล์มาบอกก็ได้นะว่าแปลผิดตรงไหน จะได้เข้าใจด้วยว่าแปลผิด

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

ความทรงจำปี 2020

ปี 2020 ที่ผ่านมา

ตอนเริ่มเขียนบันทึกปี 2020 เหมือนยังจำความรู้สึกตอนเขียนบันทึกปี 2019 ได้อยู่เลย ซึ่งนั่นแปลว่ามันรู้สึกเร็วมาก ทำให้นึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่เรียนด้วยคนนึงว่า “เวลาของคนวัยทำงานจะเร็วมาก”

สำหรับปีนี้คือปีแห่งความแปลกประหลาดอะไรที่ไม่คิดว่าเคยคิดว่าจะเกิดแบบจริงจังก็เกิดเพราะโรคระบาดที่ชื่อโควิท-19 เจออะไรที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

งาน

ครั้งแรกกับ Work from home

ใช่ครับนี่คือครั้งแรกที่เคยได้ทำงานจากที่บ้านแบบทางการ แต่จริงๆก็เคยปั่นงานตอนเสาร์อาทิตย์ ตอนกลับถึงบ้านแล้วก็เลยไม่รู้สึกแปลกเท่าไหร่ ซึ่งก็มีข้อดีข้อเสียปะปนกันไป ข้อดีคือไม่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าอาบน้ำไปทำงาน อันนี้คือตื่นตอนใกล้ๆเวลางานแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันทำงานเลย ไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง แต่สิ่งที่แลกมาก็เยอะอยู่เหมือนกัน ช่วงแรกมันก็สบายๆแต่หลังๆชีวิตมันจะเหมือนแบบอยู่หน้าคอมเกือบจะตลอดวัน มันหนักกว่าตอนไปทำงานอีก คือเราทำงาน นอน ตื่นมาทำงาน เหมือนไม่ได้พักเลย ซึ่งจริงๆมันเกิดจากนิสัยทำงานไปเรื่อยๆ จะเลิกก็ต่อเมื่อแบบดึกแล้วต้องกลับบ้าน หรือคนในบริษัทกลับหมดแล้วถึงจะเริ่มลุก แต่พออยู่บ้านจะทำยันเช้าก็ทำได้ กว่าจะเลิกนิสัยได้ก็ใช้เวลานานอยู่ ปัญหาต่อไปคือการอธิบายงาน คือสมัยก่อนเราอยู่ต่อหน้า อธิบายกันตรงๆ เขียนกระดาน วาดรูป แต่พอมาทำงานห่างกัน จะเขียนกระดานคุยกันก็ไม่ได้ ต้องมา share หน้าจอลากรูปซึ่งมันไม่ได้อย่างมือเขียนซึ่งก็ทำให้หงุดหงิด บางทีเราจะจับคีย์บอร์ดเขียน Show จับ Terminal เลย ก็ต้องเปลี่ยนมา Request control ซึ่งบางทีมันก็กระตุกๆไม่ทันใจ การแก้ปัญหาแบบเร่งด่วนก็ทำลำบากขึ้น สมัยก่อนถ้าด่วนจริงคือเดินไปดูที่ Terminal ให้เขา Query ให้ดูตรงนั้น แต่อันนี้ต้องส่งไปให้ Query รอส่งผลลัพธ์มาให้ดู จะสื่อสารอะไรก็ลำบาก ก็ต้องปรับตัว แต่พอผ่านไปหลายๆรอบแล้วปรับตัวก็ดีขึ้นจนเริ่มปกติละ

ตำแหน่งเก่าหน้าที่ใหม่

หน้าที่การงานปีนี้ก็คงจะคล้ายๆกับปีที่แล้ว ยังคงเป็นโปรแกรมเมอร์เหมือนเดิม เพิ่มเติมคืองานลดลง ฮ่าๆๆๆๆ จริงๆหัวหน้าเขาช่วยกระจายงานไปให้คนที่เหมาะกับงานที่เราทำมากกว่า จากที่ต้องติดต่อกับมนุษย์ บวกกับปัญหาตรงๆ หัวหน้าให้เรามาอยู่ด้านหลังจริงๆ มีปัญหาแล้วเชิงเทคนิคมาแล้วค่อยมาถึงเรา หรือเวลามี Change มีอะไร ก็มีพี่คนอื่นไปรับมา ไปคุยไปสรุปว่าลูกค้าอยากได้อะไรมาก่อน แล้วเขาค่อยมาให้เราช่วยคิดช่วยออกความเห็น หาวิธีการที่เหมาะสม ซึ่งแบบนี้มันก็ดีไปอย่างเพราะโดยนิสัยส่วนตัวนั้นไม่ชอบคุยกับมนุษย์อยู่แล้ว แต่ๆๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอกครับ เพราะในระยะยาวแล้ว อาชีพการงานของสายนี้สุดท้ายส่วนใหญ่มันก็จบที่ต้องไปพบปะผู้คน ต้องคุยกับคนให้เป็น คุยกับเขาเพื่อหาว่าปัญหาของเขาคืออะไร อะไรคือปัญหาจริงๆ ตอนนี้ผมเลยมีแค่สองทางเลือกใหญ่ๆคือ กลับไปอยู่จุดที่ต้องคุยกับมนุษย์ หรือจะไปสุด Specialist เลยซึ่งผมก็เลือกจะไปสาย Specialist ซึ่งในตลาดบ้านเราคงไม่ค่อยมีใครต้องการ Specialist แบบจริงๆจังหรอกครับ งานบ้านเราต้องการคนแบบที่คุยกับมนุษย์มากกว่า ซึ่งก็กลายเป็นความเสี่ยงกับหน้าที่การงานในอนาคตเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรครับ สำหรับผมการทำงานแล้วมีความสุขอาจจะตอบโจทย์มากกว่หน้าที่การงานในอนาคตและผมก็เชื่อว่าถ้าผมมีความสามารถพอ การจะหางานคงจะไม่ยาก เลวร้ายสุดก็สมัครเป็น Junior developer ใหม่อีกรอบแม่งเลย

มีพบมีจาก

ปีนี้มีคนเข้าออกเยอะอยู่ คนที่ออกไปก็น่าเสียดายเพราะเป็นคนมีความสามารถ มี Power ที่จะทำให้อะไรให้เปลี่ยนแปลงได้ แต่คนเป็นคนที่ใช่ที่อยู่ผิดเวลา อีกคนก็เด็กที่เทรนมากับมืออาจจะเป็นอาจารย์คนแรกในที่ทำงานของมันเลย เป็นคนเก่งมีความสามารถถึงจะกวนตีนไปหน่อยแต่ก็มีแววที่จะทำอะไรได้อีกเยอะ สุดท้ายก็ออกไปเพราะสภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ก็ได้ข่าวว่ามันไปได้ดี เราก็ดีใจก็ได้แต่หวังวิชาที่เคยสอน วิธีการออกแบบ วิธีการมองโลกแบบแง่ร้ายในการเขียน Code จะช่วยมันได้ ซึ่งผมก็เห็นว่าคนที่ออกจากบริษัทผมไปส่วนใหญ่ได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้น (ชักอยากออกบ้าง แต่พูดมาจะ 5 ปีละยังไม่ได้ออกสักที) ส่วนคนเข้ามาใหม่ก็เป็นคนมีฝีมือ แบบเตะเราออกแล้วเอามันมาทำงานแทนเราได้เลย คือแบบ เยส นี่แหละ คนที่บริษัทตามหามานานละ

งานอดิเรก

ทำ Page Facebook

อันนี้เห็นเพื่อนๆหลายคนทำ VLOG ลง Youtube ทำ Page เกี่ยวกับที่ตัวเองชอบลง Facebook ไอ้เราก็อยากลองทำบ้างจะได้รู้ว่าทำแล้วมันมีอะไรเล่นบ้าง เช่น ยอดคน กราฟ วิธีเพิ่มจำนวนคน พอดีกับตัวเองเขียน Blog นี้อยู่แล้วก็เลยทำมันซะเลยชื่อ Page Normal Programmer ซึ่งเพื่อนๆหลายคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำเพราะไม่กดเชิญใครให้มา Like หรือติดตามเลยเพราะอยากจะให้อ่านหรือติดตามจริงๆซึ่งทำให้ 1 ปีผ่านไป มีคนกด Like แค่ 23 คน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ สำหรับใครที่หลงเข้ามาอยากอัพเดทเรื่องเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงกลางๆ ก็สามารถไปกด Like กดติดตามกันได้ครับ

ซื้อกีตาร์

ปีนี้ได้ซื้อของให้ตัวเองก็คือกีตาร์ ( ไม่รับรวม Photo set ของไอดอลนะ ) อันนี้คือสิ่งที่อยากได้ตอนอยู่มัธยม เห็นเพื่อนเล่นกีตาร์แล้วเฮ้ยเจ๋งดีว่ะ อยากได้มาสักตัว เอามาเล่นเพลงการ์ตูนที่ตัวเองฟังตอนเด็ก อยากเล่นเพลง Last kiss ของ Orphen เพลง RADICAL DREAMERS ของ Chrono cross เพลง Friend ของ Houshin Engi อยากได้ แต่ก็ไม่ได้ซื้อเพราะไม่มีเงิน แล้วก็ถ้าซื้อมาก็ไม่มีที่เล่น เพราะเล่นแล้วมันส่งเสียงรบกวนบ้านข้างเคียง แต่ตอนนี้โตแล้วพอมีเงินก็เลยซื้อ ส่วนที่เล่นก็คือเล่นที่บริษัท รอเลิกงานคนกลับบ้านก็หยิบมาเล่น แต่ตอนนี้อย่างเศร้าโควิท-19 ต้อง Work from home ก็เลยอดหัดเล่นกีตาร์ไป

ตามไอดอล

เสียเงินเยอะขึ้น

ปีนี้ก็ยังตามไอดอลอยู่ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะน้อยลง แต่ไปๆมาๆเสียเงินเยอะกว่าเดิม ซึ่งจากสมัยก่อนจะถ่ายรูปอยากเดียว เดี๋ยวนี้เริ่มซื้อ Photo set แล้ว ซึ่งจริงๆก็มาตระหนักถึงเรื่องที่ว่า ถ้าไม่เสียเงิน ไม่จ่ายเงิน สนับสนุน วงเขาจะอยู่ได้อย่างไร แต่ก็ยังยึดอยู่บนหลักไม่มากจนเกินไป เอาแบบตัวเองไม่เดือดร้อน

ไอดอลที่ตามจำได้

อันนี้เป็นอะไรที่ประทับใจมาก คือปกติเป็นคนจืดจางชวนคุยไม่เก่ง ไม่มีเอกลักษณ์อะไรให้น่าจดจำ จนแบบไปถ่ายรูปกับน้อง 3 - 4 ครั้งละน้องยังจำไม่ได้เลย แต่มารอบนี้น้องดันจำเราได้ซะงั้น แบบเฮ้ย จำได้ไง จนได้มาคุยเลยรู้ว่าทำไมน้องจำได้ เลยยิ่งโดนตกไปอีก

ยุบวง

พอน้องที่ตามเริ่มจำเราได้ วงก็ประกาศยุบวงซะงั้น ฮ่าๆๆๆๆ เหมือนตอนนิโกะเลย ก็เศร้าๆนิดนึงเพราะวงนี้เขาดีจริง ผลิตเพลงดีๆมาหลายเพลง คือถ้ายังอยู่ต่อน่าจะมีเพลงดีๆอีกหลายเพลงให้ฟัง ไม่น่ายุบวงเลย

จิตใจ

ตามหาความหมายของชีวิต ชีวิตวัดค่าที่ตรงไหน

ปีนี้เป็นอีกปีที่มองหาความหมายของชีวิต จะอยู่ไปทำไม อยู่เพื่ออะไร อะไรคือความสุขของชีวิต มันเป็นคำถามที่มีแต่เราตอบได้ แต่เรากลับตอบไม่ได้ แบบ เรามีความสุขตอนไหนวะ ตอนเล่นเกมส์เหรอมันสุขแค่นิดเดียว สักพักมันก็หมดสุขละ การได้คุยกับไอดอลเหรอ อือก็สุขแต่พอหยุดคุยกับเขาก็หมดสุข พยายามจะอยู่กับปัจจุบันในทุกขณะก็ยังทำไม่ได้ ยังมีภาพจากอดีดที่อยากมีความสุข หรือ อะไรที่ไม่อยากทำโผล่มาคิดเสมอ เรื่องอนาคตที่อยากทำและไม่อยากให้ผิดพลาดเหมือนอดีต หรือจริงๆการพยายามอยู่กับปัจจุบันอาจจะไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสมกับเรา ผมอ่านหนังสือเล่มนึงชื่อสิทธารถะ เคยพูดไปหลายรอบมากเกี่ยวกับเล่มนี้ เพราะมันได้บอกเล่าการไล่ตามหาความสุข มันไม่ได้ตีกรอบว่าจะต้องอยู่กับปัจจุบัน จะต้องละทิ้งอะไร มันบอกเพียงแค่ว่า ความสุขของท่านท่านต้องค้นหามันด้วยตัวท่านเอง ซึ่งผมก็ลองทำตามหนังสือและตามหามันอยู่แล้วก็เริ่มเข้าใจด้วยว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งถึงดึงเอาวิธีมีความสุขของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเลย เพราะมันง่าย ไม่ต้องทดลอง ไม่ต้องวัดผลให้ยุ่งยาก เมื่อเทียบกับการตามหามันด้วยตัวเอง ตั้งกรอบขึ้นมาเอง วัดผลว่ามันสุขจริงไหม แล้วยิ่งทำมันก็ยิ่งเคว้งคว้างเพราะมันไม่เจอสักที

แยกไม่ออก

หลังจากเริ่มตามหาความหมายของชีวิตก็เลยต้องหัดตั้งคำถามมากขึ้น ได้ยิน ได้ฟัง อะไรมาก็เริ่มตั้งคำถามไปหมด คือจริงๆไอการตั้งคำถามเนี่ยใช้บ่อยตอนเรียน ตอนทำงาน เพราะ เฮ้ยมันทำงานยังไง มันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงไหม แต่ถ้านอกเรื่องพวกนี้จะไม่ค่อยตั้งคำถาม แต่พอมาปีนี้อะไรก็เป็นคำถามไปหมด แบบ เฮ้ย ไอที่เราเชื่อๆว่ามันดีตั้งแต่เด็กมันดีจริงหรือวะ ยกตัวอย่าง หาเหตุผลมาลองคิด บางอันก็แบบ ไอห่า “กูมันบ้า” เชื่อแบบนั้นทำแบบนั้นมาได้เป็น 10 - 20 ปี การตั้งคำถามมันสนุกตรงที่เวลาตั้งคำถามมันอาจจะได้คำตอบของบางคำถาม มันเหมือนแบบ เฮ้ย กูเข้าใจแล้วว่าทำไมเป็นแบบนั้น แต่การทำอะไรแบบนี้บ่อยๆมันเริ่มทำให้เส้นแยกระหว่างบางเรื่องของเราเปลี่ยนไป เราเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือไม่ดี เหมาะไม่เหมาะ ตอนนี้ทุกเรื่องมันกลายเป็น ณ สถานการณ์นั้น ด้วยความรู้และความเข้าใจเท่านั้น ทรัพยากรเท่านั้น เราจะเลือกทางใดด้วยตัวแปรอะไร เกือบจะทั้งหมดละ เราเริ่มไม่สามารถตัดสินอะไรเหมือนสมัยก่อนได้ละ แม่งแบบ “เออไอเหี้ยมันทำแบบนี้เพราะมันมีเหตุผลว่ะ” มันทำให้เราเข้าใจเขาแต่มันก็เจ็บปวดกว่าตรงที่เราเข้าใจแต่เราทำอะไรไม่ได้เนี่ยสิ มันเหี้ยกว่า บางทีการไม่เข้าใจมันยังแบบ “เออพวกมึงแม่งเหี้ย แม่งไม่มีสมอง ไม่มีเหตุผล” ยังดีซะกว่า

ใจคน

ปีนี้เป็นปีที่ได้รู้เกี่ยวกับใจคนมากขึ้น คนเราเวลาเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยน มิตรภาพอาจจะมีราคาแค่ไม่กี่พันบาท ทำให้เห็นว่าความซื่อสัตย์มันสามารถวัดกันได้ด้วยเงิน เช่นกัน มิตรภาพอาจจะจบเพราะความเห็นซึ่งไม่ตรงกัน การที่ต่างคนต่างถือว่าตัวเองถูก ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรกับเรื่องนี้เพราะผมก็ถือว่าเรามองว่ามันถูกในมุมของแต่ละคน เรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่อง ต่างคนต่างมุมมอง ต่างคนต่างมีจุดยืน ผมจะไม่ยอมเสียจุดยืนแม้จะต้องเสียมิตรภาพก็ตาม การที่ผมจะเปลี่ยนจุดยืนได้ก็คงจะต้องมีเหตุผลมาหักล้างเท่านั้น

เพื่อน

ทุกครั้งเวลาคิดว่าเราอยู่ตัวคนเดียวบนโลก ไม่มีใครรับฟังเราได้เลย มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ผมนึกถึงไปเสมอคือ เพื่อน เพื่อนพวกนี้มีตั้งแต่เพื่อนสมัยประถม มัธยม อุดมศึกษา เวลาค่าสังคมมันถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็ได้คนกลุ่มนี้แหละ ที่มาเพิ่มมันให้อยู่ในระดับปกติ เวลาคุยกับคนพวกนี้มันเหมือนเราเอากำแพงบางอย่างลง เพราะมันคือเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน ใช้ชีวิตมาด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง เห็นนิสัยกันมาในระดับหนึ่ง มันรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นไง ซึ่งก็รู้ความเหี้ยมาระดับนึง มันเข้าใจเรา ดังนั้นเวลาคุยมันไม่ต้องคอยกดบางอย่างให้ซ่อนไว้ เราคุยกับมันได้อย่างสบาย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอคนกลุ่มนี้จะอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่าไหร่ (หมายถึงนัดเจอกันแล้วมาเลยอะนะ) เพราะแค่ตอนนี้จะนัดกันทีก็ลำบาก บางคนมีแฟนแล้วก็ต้องแบ่งเวลาให้คนสำคัญก่อน (เห็น -ี ดีกว่าทีมเวิร์คหมดแหละบอกเลย) ไม่นานมันก็คงแต่งงานมีลูก แล้วก็ไม่มีเวลามานั่งกินบุฟเฟ่ห์คุยเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว

ไม่สมหวังอีกแล้วว่ะ

ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่กินแห้วอีกแล้ว จริงๆการจีบครั้งนี้คือใกล้จุดที่แบบจะไปเป็นแฟนได้ละ แต่สุดท้ายมาจบด้วยเหตุผลง่ายๆคืออีกฝ่ายคิดว่าเราเข้ากันไม่ได้ พี่แม่งคนดีคนละแบบกับน้อง อือ จริงๆมันก็มีอาการแล้วแหละ แต่เรารู้ช้าไปก็เลยไปเทใจไปให้เขาหมด ก็เลยจบที่เจ็บคนเดียว แต่รอบนี้ดีนะคือจบแล้วแม่งจบเลยจริงๆ ไม่มีแบบอยากกลับไปจีบใหม่ ไม่อาลัยอาวร คือ เออ จบแม่งไปละกัน ซึ่งต่างจากคนก่อนที่ผมเคยจีบคนแรก คนนี้คือผมยังบอกเสมอว่าถ้าวันไหนเปลี่ยนใจเราก็พร้อมจะไปจีบใหม่เสมอ

หาคนใหม่

จริงๆหลังจากไม่สมหวังกับคนเก่าก็หาคนจีบใหม่นะ ซึ่งก็เจอไว ซึ่งจริงๆก็ตรง Spec ทุกอย่างเลย ใส่แว่น น่ารัก แถมเป็นผู้หญิงที่โก๊ะด้วยซึ่งแบบเฮ้ยมันมีคนแบบนี้อยู่จริงๆบนโลกด้วยเหรอ คือคนแบบนี้เราจะเห็นในหนังรักเกาหลีแบบนางเอกซุ่มซ่าม ทำอะไรน่ารักๆ ใช้ชีวิตมา 20 กว่าปีไม่เคยเจอ ตอนนี้มาได้เจอคือแบบ while (true) { printf(“น่ารัก”); } แต่ก็ตามเคย คุณคิดว่าคนน่ารักแบบนี้จะไม่มีผู้ชายมาจีบเหรอครับ แล้วเขา Profile ก็ดีขนาดนั้น พอมานั่งคิดทบทวนอะไรหลายๆอย่างด้วยเหตุผลแล้ว “ไม่น่ารอด” สุดท้ายก็คงเก็บเป็นคนที่ชอบที่ไม่ได้จีบอีกหนึ่งคน คือได้เห็น ได้เจอก็น่าจะพอใจแล้ว

ปีหน้าทำอะไรดีล่ะ

ปีนี้จบไปเป้าหมายหลายๆอย่างก็ทำไม่ได้

  • จะอัพเดท Blog ทุกสัปดาห์ หาเรื่องมาเขียน มาเล่า ก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่
  • นิยายที่จะเขียนต่อให้จบก็ยังค้างอยู่ตอน 10
  • ออกกำลังกายกะแบบให้แข็งแรงจะได้อยู่ได้นานๆก็ไม่ได้ออก
  • จะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่าเดิมก็กลายเป็นระเบิดทุกอย่างไม่ต้องเก็บไป
  • อยากจะทำอะไรว้าวๆสักชิ้นก็ไม่ได้ทำ จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรที่ว้าว

ปีหน้าก็เลยอยากจะหาแรงจูงใจในการพยายามทำสักหน่อย ประมาณว่าทำได้ทั้งหมดแล้วจะได้รางวัลนี้เลยแบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องรอน้ำลายไหลแล้วค่อยซื้อ (คุ้นๆไหมล่ะ) ก็เลยเป็น Nintendo switch เลยละกัน อยากได้มานานละ ปีหน้าก็เลยจะทำเรื่องต่อไปนี้

  • เขียน Blog ให้บทความถึง 150
  • แปลเรื่อง Candide ให้จบ เคยอ่านแต่สรุปแต่อยากจะรู้ว่าจริงๆมันเลวร้ายขนาดไหน มันเป็นนิยายที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับศาสนาได้จริงๆเหรอ
  • แปลเรื่อง The Shunned house อันนี้อยากรู้ว่าที่คนยกย่องว่านิยายของ H. P. Lovecraft นั้นคือความน่ากลัวระดับสุดยอด ก็อยากจะรู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน มนุษย์จะไร้ทางสู้กับสิ่งไม่รู้ได้ขนาดไหน แล้วไอ้การที่สู้ไม่ได้เลยมันจะต่างอะไรกับการดูหนังจูออนที่ผีแม่งตามฆ่าแบบที่สู้ไม่ได้เลย
  • แปลเรื่อง The Dunwich Horror อันนี้เหตุผลเดียวกับข้อข้างบน ซึ่งเรื่องที่จะแปลอยู่ใน Public Domain ของสหรัฐแล้วคือใครจะหยิบไปอ่านไปแปลก็ได้
  • เขียนเรื่อง Design Relational Database อันนี้อยากทวนความรู้เก่าสมัยอยู่ตอน ปี 3 อยากรู้ว่าการที่ลืมไปเกือบหมดแล้วจะกลับไปเขียนใหม่ได้รึเปล่า
  • เล่นกีตาร์ให้เป็นสักเพลง อันนี้อยากเล่นได้จริงๆ เวลาเหงาๆเครียดๆจะได้หยิบมาเล่นแก้เครียดแก้เซ็ง หรือ ไปเล่นเปิดหมวกสักที่

ปีนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาเล่ามากมายเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ไปเปิดโลกทำอะไรใหม่ๆ เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยวต่างประเทศมีก็แต่ไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทะเล ไปเที่ยวกับคนในบริษัทซึ่งกลายเป็นทริปนั่งอยู่ในบ้านเพราะฝนแม่งตกตลอดทั้งวัน ก็เลยมีแต่เรื่องส่วนตัวชวนสมเพช ปีนี้จะบอกว่าเป็นปีที่ดีไหม ถ้าพูดกันตามหลักเหตุผลก็ ความสามารถยังย่ำอยู่ที่เดิมไม่ได้มีอะไรดีขึ้นแบบเห็นได้ชัด (คนเมื่อ 5 ปีที่แล้วก็ความรู้ประมาณนี้แหละ) รายได้ที่อยากหาเพิ่มเพื่อจะได้เอาไปใช้ตอนลาออกหยุดอยู่บ้านสัก 10 - 20 ปีแล้วค่อยตายก็ยังไม่มี ความสุขในชีวิตก็ยังหาไม่เจอ ก็ถ้าวัดด้วยเรื่องพวกนี้ก็คงบอกได้ว่า “แย่” แต่ถ้าใช้แนวคิดทางจิตใจที่ใช้แค่คำว่า สิ่งใดเกิดขึ้นไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เราตัดสินอดีดจากอารมณ์ ณ ตอนนี้ เวลาเปลี่ยนไอ้สิ่งที่เรามองว่าแย่อาจจะเป็นเรื่องดี หรือ แย่กว่าเดิมก็ได้ ดังนั้น ปล่อยมันผ่านไป อยู่กับปัจจุบัน (ไม่ชอบทฤษฎีนี้เลยแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ) ณ ตอนนี้เวลานี้ ทำสิ่งที่คิดว่าเหมาะว่าควรด้วยความรู้ สติปัญญา ประสบการณ์ กำลังทรัพย์ ที่มีน่าจะดีกว่า

สุดท้ายเรามาจบปีเก่าเริ่มปีใหม่ปีนี้ด้วยอะไรดี

สวัสดี (อย่างเห่ย) เอาเป็น รักเธอ (เชี่ยมีสาวที่ไหนให้รัก) งั้นเอาเป็น

หวัดดีเบล

เอออันนี้แหละดีสุดละในหลายๆความหมายซึ่งคงจะมีแต่เราที่เข้าใจ

เพลงที่ได้ฟังในปีนี้

Candide ตอนที่ 3

ตอนที่ 3 : Candide หนีจากชาวบัลแกเรียอย่างไรและผลที่ตามมาจากกระทำนั้นคืออะไร

ความกล้าหาญ ความเป็นระเบียบ ความงดงาม ไม่มีสิ่งที่ว่ามานี้อยู่เลยกับทหารทั้งสองฝั่ง เสียงกลอง ไฟฟ์ ทรัมเป็ต โอโบ และปืนใหญ่รวมกันบรรเลงเป็นเพลงที่แม้แต่นรกเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ปืนใหญ่ถูกวางอยู่ด้านหน้าร่วมกับทหารกว่า 6 พันนายของทั้งสองฝั่ง พลปืนประมาณ 9 พัน ถึง 1 หมื่นนาย กำลังประจำอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะเอาชีวิตศัตรู พร้อมกับ ดาบปลายปืนมากมายพร้อมที่จะสังหารชีวิตนับพันคนได้อย่างไม่ยากเย็น รวมๆแล้วที่มีมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณอยู่ประมาณ 3 หมื่นคน Candide ผู้เป็นนักปรัชญากำลังสั่นไปทั้งตัวและพยายามหาทางให้ตัวเองพ้นไปจากโรงฆ่าสัตว์ที่เกิดจากความกล้าหาญนี้

ในขณะที่กษัติย์ทั้งสองกำลังสรรเสริญพระเจ้าของในค่ายของตนนั้น Candide กำลังพยายามสรุปความเป็นเหตุเป็นผลจากเหตุการณ์ที่เจอมาและสุดท้ายก็ตัดสินใจหนีออกจากกองทัพ เขาได้เดินผ่านกองซากศพคนตายที่ในหมู่บ้านของชาว Abare ที่กลายเป็นเถ้าถ่านจากการเผาของกองทัพบัลแกเรียซึ่งทำตามกฏของสงคราม ที่หมู่บ้านนั้นมีชายแก่ที่เต็มไปด้วยบาดแผลกำลังมองเห็นภรรยาที่กอดศพลูกสาวของตนไว้ในอ้อมอกถูกสังหารต่อหน้าต่อตาไว้ สภาพศพของเธอนั้นถูกทำร้ายจนเห็นอวัยภะภายใน ส่วนชาวบ้านคนอื่นๆก็ถูกเผาไปครึ่งตัวอ้อนวอนให้ส่งเขาไปโลกหน้า ซากของอวัยวะมนุษย์ไม่ว่าจะแขน ขา สมอง ต่างเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ชาวแบลแกเรียทำเพื่อให้ตัวเองได้เป็นวีรบุรุษ

Candidle รีบไปอีกหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวบัลแกเรีย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ต่างจากหมู่บ้านก่อนจะต่างก็เพียงเป็นฝีมือของวีรบุรุษชาว Abare Candidle เดินอย่างสั่นกลัวทุกครั้งที่ผ่านกองซากศพจนสุดท้ายเขาออกพ้นเขตสงคราม เขาเดินทางด้วยเสบียงที่อยู่ในกระเป๋า และ Cunegonde ที่อยู่ในหัวใจของเขา เสบียงของเขามาหมดลงเมื่อมาถึงฮอลแลนด์ แต่เขาเคยได้ยินมาว่าชาวฮอลแลนด์นั้นร่ำรวย อีกทั้งพวกเขาเป็นชาวคริสเตียน เขาไม่กังวลเพราะเขาคงจะได้รับการช่วยเหลือเหมือนกับตอนที่อยู่ในปราสาทบารอน ก่อนที่เขาจะได้สบตากับ Cunegonde และถูกไล่ออกมา

เขาทำการขอเงินหรืออาหารเพื่อประทังชีวิตจากผู้คนในแถบนั้น แต่ทุกคนตอบเขาว่าถ้าเขายังเดินขอเงินแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจะมีคนมาจับเขาไปส่งบ้านฝึกอาชีพเพื่อสอนให้เขาสามารถมีงานเลี้ยงชีพตัวเองได้

เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปขอความช่วยเหลือจากนักพูดที่กำลังพร่ำสอนเกี่ยวกับการให้ แต่นักพูดกลับถามเขาว่า “ท่านมาทำอะไรที่นี่ ท่านมาด้วยประสงค์ดีหรือไม่”
“ไม่มีผลใดเกิดขึ้นโดยปราศจากประสงค์” Candide ตอบอย่างสุภาพ “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมต่อกันเพื่อนำไปสู่ผลที่ดีที่สุด ซึ่งมันจำเป็นที่ข้าต้องพรัดพรากจาก Cunegonde และข้าต้องผ่าน Running The Gauntlet และในตอนนี้มันเป็นความจำเป็นที่ข้าอยากจะขอขนมปังจากท่านเพื่อที่ข้าจะได้เรียนรู้การได้รับมัน ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถเป็นอย่างอื่นได้”

“เพื่อนยาก” นักพูดตอบเขา “ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพระสันตะปาปาจะกลายเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์”

“ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่ว่านั้นเลย” Candide ตอบ “แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือไม่เป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ ข้าต้องการขนมปัง”

“เจ้าไม่สมควรได้กิน” นักพูดตอบ “ออกไปเจ้าคนโชคร้าย เจ้าคนไม่ดี อย่ามาเข้าใกล้ข้าอีก”

ภรรยานักพูดโผล่หัวออกมาจากหน้าต่างและเฝ้าดูชายผู้ซึ่งสงสัยว่าพระสันตะปาปาเป็นผู้ต่อต้านพระคริสต์ โอ้สวรรค์การสนใจในศาสนามากเกินไปทำให้ผู้หญิงเป็นได้ขนาดนี้ (ตรงนี้ผมเข้าใจว่ามันไม่ควรที่ผู้หญิงในสมัยนั้นทำอะไรแบบที่ภรรยาของนักพูดทำอยู่ในตอนนั้น)

ชายคนหนึ่งผู้ซึ่งไม่ได้เข้าพิธีศีลจุ่ม และเป็น Anabaptist (น่าจะเป็นนิกายหรืออะไรสักอย่างของศาสนาคริสต์) ชื่อ James ซึ่งได้เห็นการปฏิบัติที่เลวร้ายต่อคนคนหนึ่งซึ่งมีจิตวิญญาณเหมือนกัน เขาจึงพา Candide กลับไปที่บ้านของเขา ให้ Candide ได้ทำความสะอาดร่างกาย เลี้ยงขนมปัง เลี้ยงเหล้า ให้เงิน พร้อมกับสอน Candide เกี่ยวกับการผลิตวัตถุดิบจากเปอร์เซียซึ่งผลิตในฮอลแลนด์ Candide ก้มลงตรงหน้าของ Jame พร้อมร้องไห้ออกมา

“อาจารย์ Pangloss เคยพูดไว้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเรื่องที่ดีที่สุดบนโลกนี้ สำหรับข้า ข้าได้รับความซาบซึ้งอันหาที่สุดไม่ได้ที่ได้รับจากท่านซึ่งดีกว่า การได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจากสุภาพบุรุษชุดดำและภรรยาของเขา”

วันต่อมา ในขณะที่กำลังเดินเขาได้พบกับขอทานซึ่งร่างกายเต็มไปด้วยสะเก็ดแผล ตาของเขาเป็นโรค ปลายจมูกของเขาขาดแหว่ง ปากของเขาบิดเบี้ยว ปากของเขาบิดเบี้ยว และเขาไออย่างรุนแรง

คุยกันหลังแปล

ก็เป็นอีกตอนที่ เฮ้อ แปลยากจังโว้ย นี่ขนาดใช้ Google translate ช่วยแปลแล้วนะ คือแบบมันไม่เหมือนภาษาไทยเลยที่อ่านยาวๆแล้วแปล อันนี้มันเหมือนแบบอ่านๆไปแล้วขั้นด้วยการอธิบายบางอย่าง แล้วก็ต่อ แล้วก็ขั้น ซึ่งก็เคยเรียนตอนอยู่ปี 2 นะ ไอพวกสัญลักษณ์ , ; แต่ลืมไปหมดละ อ่านแล้วทรมานมาก แล้วพอจะแปลเป็นภาษาไทยก็ยิ่งยากไปใหญ่อีก คือเข้าใจว่าพูดอะไร แต่จะมาเขียนเป็นภาษาไทยนี่แบบ เขียนว่าไรดีว้า แล้วแบบบางคำภาษาอังกฤษมันตัดจบดื้อๆ เฮ้ย เดี๋ยว ในไทยจบห้วนๆแบบนี้มันงงโว้ย ก็ไม่รู้ว่าถ้าแปลเรื่องนี้จบจะช่วยให้เข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น หรือ ไม่ต้องแปลมันแล้วโว้ย

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm

Candide ตอนที่ 2

ตอนที่ 2 : เกิดอะไรขึ้นเมื่อ Candide อยู่ท่ามกลางชาวบัลแกเรีย

Candide ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ของเขา เขาเดินไปอย่างไม่รู้จุดหมายว่าไปที่ใด น้ำตาของเขาไหล เขาเงยหน้ามองสวรรค์ จากนั้นหันไปทางปราสาทอันงดงามที่หญิงสาวที่เขารักไว้ เขานอนลงบริเวณร่องเพื่อที่จะนอนแม้จะยังไม่กินข้าวเย็นและไม่นานหิมะก็ตกลงมา วันต่อมา Candide ที่เหนื่อยล้าก็ได้พยายามดึงตัวเองขึ้นมา เขากำลังมุ่งหน้าไปเมือง Waldberghofftrarbk-dikdorff โดยที่สภาพเขาตอนนี้ไม่มีทั้งเงินจะมีก็แต่ความหิวโหยและจิตใจที่แหลกสลาย เขาเดินมาถึงประตูของโรงแรม ซึ่งมีชายสองคนในชุดน้ำเงินได้มองไปที่เขา

“สหาย ที่นี่ถูกสร้างมาอย่างเหมาะสมแก่ท่าน” หนึ่งในชายสองคนนั้นกล่าวขึ้น พวกเขาเชิญ Candide ไปทานอาหารอย่างสุภาพ

“ท่านสุภาพบุรุษ” Candide ตอบอย่างสุภาพ “ท่านให้เกียรติแก่ข้ามาก แต่ข้าไม่มีเงินที่จะช่วยจ่ายในส่วนของข้า”

“เป็นเช่นนั้น แต่ คนในลักษณะแบบท่านนั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไร ว่าแต่ท่านสูง 5 ฟุต 5 นิ้ว ใช่ไหม” หนึ่งในชายชุดน้ำเงินกล่าว

“ใช่นั่นคือความสูงของข้า” Candide ตอบ จากนั้นทำการโค้งคำนับแก่ชายทั้งสอง

“เชิญนั่งท่าน ไม่เพียงแต่พวกเราจะไม่คิดเงินในส่วนของท่าน แต่พวกเรานั้นไม่รู้สึกเดือดร้อนกับการทำแบบนี้ มนุษย์เราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น”

“ที่ท่านพูดนั้นถูกต้อง “ Candide ตอบ “นี่คือสิ่งที่ข้าถูกสอนโดยอาจารย์ Pangloss เสมอ และ ข้าเห็นโดยชัดเจนว่าทั้งหมดนั้นดีที่สุด”

พวกเขาข้อร้องให้ Candide รับเงินที่พวกเขาจะให้ Candide ยอมรับเงินแต่ก็ขอให้พวกเขาจดไว้ว่าเขาได้ยืมเงินไป แต่ทั้งสองก็ปฏิเสธ จากนั้นพวกเขาก็พา Candide ไปนั่งที่โต๊ะของพวกเขา

“ท่านมีรักอย่างจริงใจไหมหรือไม่”

“ข้ามี ข้ารัก Cunegonde อย่างสุดหัวใจ”

“ไม่ พวกเราหมายถึงท่านรักกษัตริย์แห่ง บัลแกเรีย หรือไม่” หนึ่งในชายสองคนนั้นเอ่ยขึ้น

“ไม่ ข้าไม่ได้รักเขา ข้ายังไม่เคยเจอเขาเลย” Candide ตอบ

“อะไรนะ เขาคือกษัตริย์ที่ดีที่สุด และเราต้องดื่มเพื่อเขา”

“โอ้ ด้วยความเต็มใจ ท่านสุภาพบุรุษ” จากนั้นเขาก็ดื่ม

“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” ทั้งสองบอกแก่ Candide “จากนี้ท่านเป็นผู้ช่วยเหลือ เป็นผู้ปกป้อง เป็นฮีโร่ของชาวบัลแกเรีย ชื่อเสียงและเงินทองจะเป็นของท่านแน่นอน”

ทันใดนั้นพวกเขาก็จับ Candide และพาเขาไปที่กรมทหาร ที่นี่เขาถูกสั่งหันซ้าย หันขวา ถูกสั่งให้ฝึกเกี่ยวกับทหาร ถูกทำโทษด้วยตีด้วยอาวุธ 30 ครั้ง วันต่อมาเขาก็ถูกฝึกแบบเดิมแต่ก็ถูกทำโทษน้อยลงเหลือแค่ 20 ครั้ง วันต่อมาเขาโดนทำโทษแค่ 10 ครั้ง และไม่นานเขาก็ถูกยอมรับในหมู่ทหาร

Candide รู้สึกมึนงงและไม่เข้าใจว่าเขาจะเป็นฮีโร่ได้อย่างไร วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิในขณะที่เขาเดินให้ตรงกับคนที่อยู่ข้างหน้า เขาเชื่อว่ามันเป็นสิทธิของมนุษย์และสัตว์ที่สามารถเดินไปทางใดก็ได้ด้วยขาตามใจปรารถนา ซึ่งเมื่อเขาได้ก้าวออกมาเดินตามใจทันใดนั้นก็มีชายร่างใหญ่ 6 ฟุตมาจับกุมเขาแล้วและพาตัวเขาขังไว้ในคุก จากนั้นเขาก็ถูกถามว่าจะเลือกอะไร จะถูกตีคนละ 36 ครั้งจากคนทั้งกรม หรือ จะรับลูกตะกั่ว 12 นัดเข้าไปในหัวพร้อมกัน เขาตอบไปว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ มนุษย์มีอิสระ เขาไม่เลือกข้อไหนทั้งนั้น เขาจะตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้เพราะมันคือของขวัญจากพระเจ้าที่เรียกว่าเสรีภาพ แต่สุดท้ายแล้วเขาถูกบังคับให้ถูกประหารด้วยวิธี Running The Gauntlet ซึ่งนั่นทำให้เขาผิดหวังอีกครั้ง

กรมทหารประกอบไปด้วยคนจำนวน 2000 คน ซึ่งนั่นแปลว่าเขาจะโดนโจมตี 4000 ครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นการโจมตีไปที่ร่างอันไร้การป้องกันของเขาตั้งแต่ลำคอไปจนถึงสะโพก หลังจากโดนตีเข้าไป 3 ครั้ง Candide ก็ทนไม่ไหว เขาข้อร้องให้ยิงเขาเสียเถิดซึ่งเขาก็ได้รับสิทธิ์นั้น เหล่าทหารจับเขาปิดตาและให้เขาคุกเข่าลงกับพื้น

กษัตริย์แห่งบัลแกเรียได้ผ่านมา ณ ที่แห่งนั้นพอดีและได้หาความจริงเกี่ยวกับอาชญากรรมนี้ ด้วยความชาญฉลาดของเขา ทำให้เขารู้ว่า Candidle นั้นเป็นเด็กหนุ่ม และเป็นนักปรัชญา ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สนใจความเป็นจริงของโลกใบนี้ กษัตริย์ทรงแสดงความเมตตาให้อภัยโทษแก่เขา ซึ่งนั่นทำให้เขาถูกยกย่องในทุกวารสาร ทุกยุคสมัย

หมอใช้เวลารักษา Candidle ให้กลับมาปกติได้ในเวลา 3 สัปดาห์ และไม่นานจากนั้นเขาก็หายดีจนสามารถเข้าร่วมกับกองทัพของกษัตริย์บัลแกลเรียที่จะยกทัพไปสู้กับกษัตริย์ Abares

คุยกันหลังแปล

อันนี้เป็นช่วงระบายความรู้สึกหลังแปลแล้ว ตอนนี้อย่างงงศัพท์แบบ What ไม่เคยเจอในสายคอมเลย แล้วมันไม่เรียงเป็นประโยคแบบไทยด้วยดิ มันจะพูดถึงอย่างนึงแล้วไปพูดอธิบายไรสักอย่าง แล้วกลับมาต่อ ทำไมมันไม่พูดต่อยาวๆให้จบประโยคเลย อันนี้ไม่เข้าใจเหมือนกัน แล้วเนื้อเรื่องนี้อย่างพีคแบบ เฮ้ย ไปนั่งกินข้าวด้วยอยู่ดีๆถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารซะงั้น What ยุคนั้นเขาจับคนไปเป็นทหารง่ายๆแบบนี้เลยเหรอวะ แล้วที่พีคกว่าคือการทำโทษของพวกเขานี่โหดเกิน โหดแบบ จะฆ่ากันให้ตายเลยเหรอ ถ้าแปลไม่ผิดคือแค่เดินแตกแถวนะ

ref : https://ia800301.us.archive.org/25/items/candide19942gut/19942-h/19942-h.htm